30 กรกฎาคม 2563 : “กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร-KKP เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกในภาวะโควิด-19 ดีกว่าคาดการณ์ ด้วยแรงหนุนจากรายได้ธุรกิจตลาดทุน ซึ่งพุ่งขึ้นตามสภาวะตลาด และบล.ภัทรยังคงครองมาร์เก็ตแชร์อันดับหนึ่งด้านธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ในขณะที่ธุรกิจธนาคาร สินเชื่อเติบโตร้อยละ 5 ในเกือบทุกประเภทยกเว้นเอสเอ็มอี โดยมีลูกหนี้ที่เข้ารับมาตรการช่วยเหลือเนื่องจากผลกระทบโควิด-19 คิดเป็นร้อยละ 40 ของสินเชื่อทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจฯ เชื่อผลกระทบยังไม่สิ้นสุด ตั้งสำรองเต็มที่พร้อมติดตามใกล้ชิด สำหรับสถานการณ์คุณภาพสินเชื่อหลังหมดระยะมาตรการช่วยเหลือ
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร เปิดเผยในงานแถลงข่าวผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563 ของกลุ่มธุรกิจฯ ว่า “แม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรก สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 และมาตรการปิดเมืองทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจซบเซา แต่ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจฯ ถือว่าออกมาดีกว่าที่คาดการณ์
ส่วนหนึ่งมาจากรายได้จากค่าธรรมเนียมของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งออกมาดีตามสภาวะตลาดหุ้นที่ฟื้นตัวจากไตรมาสที่หนึ่งปี 2563 ไม่ว่าจะในส่วนของธุรกิจนายหน้าค้าขายหลักทรัพย์ให้กับลูกค้าสถาบันและลูกค้าบุคคลรายใหญ่ ซึ่งบล.ภัทรยังคงส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งหรือธุรกิจการลงทุน ทั้งการลงทุนระยะกลางและระยะยาว (Direct Investment) และการลงทุนระยะสั้นผ่านฝ่ายค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(Equity and Derivatives Trading) ซึ่งทำผลกำไรรวมกว่า 658 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจฯ คาดว่าผลกระทบจากโควิด-19 ยังไม่สิ้นสุด โดยเฉพาะในแง่ของระยะเวลาที่ยังต้องใช้ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหรือโอกาสของการกลับมาซ้ำระบาดของโรค ดังนั้น จึงได้เตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจกระทบต่อธุรกิจตลาดทุนหรือธุรกิจอื่นๆอย่างเต็มที่
นอกจากนั้น ในระยะที่ผ่านมาเพื่อช่วยบรรเทาความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจธนาคารเกียรตินาคินยังได้ร่วมกับมาตรการของภาครัฐและออกมาตรการของธนาคารเองในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่นมาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย หรือการขยายเวลาชำระหนี้คิดเป็นร้อยละ 40 ของสินเชื่อทั้งหมดของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่250,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินเชื่อรายย่อยร้อยละ 30 และสินเชื่อธุรกิจร้อยละ 10 โดยในส่วนนี้ธนาคารก็จะยังคงติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องต่อไป”
ด้านนายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในส่วนของธุรกิจธนาคารพานิชย์ว่า“สินเชื่อของธนาคารในไตรมาสแรกของปี 2563 มีการขยายตัวที่ร้อยละ 5.0 โดยมาจากการขยายตัวในสินเชื่อเกือบทุกประเภท(ยกเว้นสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อลอมบาร์ด) ไม่ว่าสินเชื่อรายย่อย (ร้อยละ 5.5) สินเชื่อธุรกิจ (ร้อยละ 3.5) และสินเชื่อบรรษัท (ร้อยละ 8.9)
โดยเฉพาะสินเชื่อรายย่อยกลุ่มเช่าซื้อรถยนต์นั้น มีอัตราการเติบโตร้อยละ 6 (YTD) ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการขยายฐานตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ไปสู่กลุ่มที่มีคุณภาพทรัพย์สินดีขึ้นในจังหวะที่มีผู้เล่นบางส่วนถอยออกจากตลาดและในตลาดเองก็มีกระแสความต้องการรถยนต์ใช้แล้วเพิ่มสูงขึ้นอันเนื่องมาจากการหลีกเลี่ยงระบบขนส่งสาธารณะและราคาที่อาจดูน่าดึงดูดใจมากขึ้นในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจสูง นอกจากนั้น การขยายตัวของสินเชื่อส่วนหนึ่งยังเป็นผลมาจากมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโควิด-19 เช่นการพักชำระหนี้ซึ่งทำให้ยอดสินเชื่อไม่ถูกปรับลดลง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานการณ์โดยทั่วไปยังไม่แน่นอนและมาตรการช่วยเหลือทางการเงินในปัจจุบันอาจทำให้คุณภาพของสินเชื่อหรือเครดิตยังไม่สะท้อนความเป็นจริงอย่างเต็มที่ธนาคารจึงได้มีนโยบายการปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวังอีกทั้งยังได้ตั้งสำรองสำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss) สำหรับไตรมาสที่สอง 2563 เป็นจำนวนถึง 744 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.9 จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วเพื่อเป็นความคุ้มกันเพิ่มเติมส่งผลให้ธนาคารมีอัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ร้อยละ 128.7 ”
นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณและประธานสายตลาดการเงิน ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) ให้รายละเอียดผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรก 2563 ว่า “กลุ่มธุรกิจฯ มีกําไรสุทธิไม่รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยเท่ากับ 2,668 ล้านบาทลดลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.1 จากงวดเดียวกันของปี 2562 เป็นกําไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน ซึ่งดําเนินการโดยบริษัท ทุนภัทร จํากัด (มหาชน) และบริษัทย่อย จํานวน 775 ล้านบาท มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 7,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ อยู่ที่ 2,160 ล้านบาท
เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากงวดเดียวกันของปีก่อน และรายได้อื่น 1,133 ล้านบาท รวมเป็นรายได้จากการดำเนินงานทั้งสิ้น 10,446 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.8 จากงวดเดียวกันของปี 2562 ในด้านคุณภาพของสินเชื่อ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาสที่สองปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ปรับลดลงจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่อยู่ที่ร้อยละ 4.0 ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) คํานวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งหากรวมกำไรถึงสิ้นไตรมาส 2 ปี 2563 จะอยู่ที่ร้อยละ 17.76 โดยเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับร้อยละ 13.7”
KKP ชี้ การติดเชื้อ ปัญหาหนี้ และข้อจำกัดการอัดฉีด
ดึงเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง ผนวกความเสี่ยงจีน-สหรัฐฯ และการเลือกตั้งสหรัฐฯ
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ และหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุนกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิภัทร บรรยายสรุปภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง 2563 ในงานแถลงข่าวผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563 ของกลุ่มธุรกิจฯ ว่า “ในช่วงครึ่งปีหลัง สามเรื่องที่ต้องลุ้นหรือคอยจับตา คือ หนึ่งสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 เพราะแม้ในไทยจะไม่มีผู้ติดเชื้อต่อเนื่องกว่า 60 วัน แล้วแต่อัตราการติดเชื้อในโลกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วันละกว่า200,000 คน
ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อรวมแล้วกว่า 17 ล้านคนและมีความเสี่ยงที่บางพื้นที่อาจจะมีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีกการพัฒนาวัคซีนสำเร็จน่าจะเกิดขึ้นหลังต้นปีหรือกลางปีหน้าทำให้ยังไม่สามารถวางใจได้ว่าสถานการณ์จบลงเมื่อไร แต่อาจจะคาดได้ว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมน่าจะผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว สอง เศรษฐกิจไทยอาจจะยังโตต่ำกว่าศักยภาพไปอีกสักระยะหนึ่ง เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงการท่องเที่ยวจากต่างชาติค่อนข้างมากและการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติคิดเป็นถึงร้อยละ 12 ของจีดีพีมาตรการปิดเมืองทั้งในและต่างประเทศย่อมจะกระทบถึงธุรกิจและเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าอาจจะมีจำนวนคนว่างงานสูงสุดถึง 5 ล้านคนซึ่งจะส่งผลไปถึงความสามารถในการจ่ายคืนหนี้ของทั้งธุรกิจและครัวเรือนจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของทั้งลูกหนี้และเจ้าหนี้ได้ปัจจุบันมีลูกค้าสถาบันการเงินถึง 12.8 ล้านบัญชีหรือมูลค่าหนี้กว่า 6.9ล้านล้านบาทหรือหนึ่งในสามของหนี้รวมทั้งระบบที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้อยู่ และสาม การอัดฉีดของภาครัฐ แม้ในระยะเวลาที่ผ่านมาการช่วยเหลือจากธนาคารกลางและรัฐบาลจะช่วยพยุงสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลก และตลาดการเงินได้แต่ปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดเงินไปแล้วกว่า 11 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ในขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยเองก็อาจจะเพิ่มจากร้อยละ41 ในปี 2562 ไปถึงร้อยละ 60 ในปีหน้าซึ่งอาจจะเป็นข้อจำกัดในการดำเนินโยบายในอนาคต นอกจากนี้อีกสองปัจจัยเสี่ยงที่ควรต้องระวัง คือความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ทวีความรุนแรงขึ้น และการเลือกตั้งสหรัฐฯที่อาจจะนำไปสู่ความไม่แน่นอนด้านนโยบายและอาจมีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจไทย เช่น การตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP(Comprehensive and Progressive Trans-pacific Partnership)หรือความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกของไทย”