02 มิถุนายน 2563 : บล.ทิสโก้ชี้หุ้นไทยระยะนี้วิ่งขึ้นแบบไม่ยั่งยืน เหตุพีอีสูง-ตัวช่วยประคองตลาดใกล้หมด-ดัชนีพุ่งแรงพักฐานน้อย แนะทยอยขายกระชับพอร์ต-ถือเงินสดเพิ่มเพื่อรอจังหวะตลาดปรับฐาน เน้นหุ้นขนาดใหญ่ถึงกลางที่ยัง Laggards และกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรโตสวนตลาดในช่วง 2 ปีข้างหน้า คาดตลาดปีนี้กำไรลดลงกว่า 30%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การประชุมธนาคารกลางต่างประเทศหลายแห่งในเดือน มิ.ย. นี้ มีโอกาสผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติม โดยเฉพาะการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบสำหรับธนาคารกลางสหภาพยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผสานกับการทยอยคลายล็อกดาวน์ทั่วโลก จะเป็นจิตวิทยาทางบวกต่อการลงทุนโดยรวม ส่วนธนาคารกลางสหรัฐ ตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งต้องติดตามการส่งสัญญาณของประธาน FED อย่างใกล้ชิด
สำหรับไทยการคลายล็อกดาวน์เฟส 3 ในช่วงต้นเดือน มิ.ย. นี้ จะเป็นผลดีต่อเนื่องต่อแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งปีหลัง หนุน SET Index มีโอกาสแกว่งซิกแซกขึ้นทดสอบระดับ 1,360 จุด ซึ่งเป็นกรณีดีที่ได้ประเมินไว้แล้วหลังประเทศไทยควบคุมการแพร่ระบาด COVID-19 ได้ดีมาก โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเดือนที่แล้ว เฉลี่ยเพียง 4 คนต่อวัน เทียบกับค่าเฉลี่ย 43 คนต่อวันในเดือน เม.ย. รวมถึงยังมีความหวังเกี่ยวกับวัคซีนที่มีความคืบหน้า
อย่างไรก็ดี บล.ทิสโก้ยังคงมุมมอง SET Index วิ่งขึ้นแบบไม่ยั่งยืน จาก 3 เหตุผลหลัก คือ (1) ระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยจะตึงตัวมาก โดยคิดเป็นอัตราราคาต่อกำไรล่วงหน้า 2 ปี (2Y Forward PER) ที่ 15.8 เท่า (เหตุผลที่ใช้ PER 2 ปีล่วงหน้า เพราะนักลงทุนหลายท่านอาจมองข้ามกำไรปีนี้ไปแล้ว) เป็นระดับเดียวกับ Forward PER ที่เคยขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายปี 2560 และหลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนก็กลายเป็นจุดพีคของ SET Index ในช่วงต้นปี 2561 ก่อนที่จะปรับตัวลงในที่สุด
นอกจากนี้ เรามองระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยจะสูงขึ้นอีกแม้ SET Index จะไม่ได้ปรับตัวขึ้นเลยก็ตาม เนื่องจากประมาณการกำไรของตลาดโดยรวมยังมีแนวโน้มปรับตัวลง
(2) ตัวช่วยต่างๆ ที่เคยประคับประคองสถานการณ์ในช่วงก่อนหน้านี้จะเริ่มสิ้นสุดลงในเดือน มิ.ย. อาทิ การใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่คาดว่าจะไม่ต่ออายุอีก, การปิดน่านฟ้า, เม็ดเงินไหลเข้าจากกองทุนเพื่อการออมระยะยาวแบบพิเศษ (SSFX) และมาตรการชั่วคราวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ออกมาควบคุมความผันผวนของตลาด หากไม่มีการขยายเวลาการใช้มาตรการออกไป โดยเฉพาะในประเด็นการปรับเกณฑ์การขายชอร์ต (Uptick Rule) ที่ทำให้มูลค่าการขายชอร์ตลดลง เหลือเพียง 1% ของมูลค่าซื้อขายรวมของตลาด หรือประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต้นๆ ในเดือน พ.ค. เทียบกับ
มูลค่าการขายชอร์ตเฉลี่ยในปี 2562 ที่อยู่ที่ประมาณ 5% ของมูลค่าซื้อขายรวมของตลาด หรือราว 5.5 หมื่นล้านบาทต่อเดือน
(3) SET Index ขึ้นรอบนี้มีการพักตัวน้อยมาก นับจากจุดต่ำสุดที่บริเวณ 970 จุด ฟื้นตัวขึ้นมาเกือบ 40% แล้ว แต่ยังไม่เห็น SET Index สัปดาห์ไหนปรับฐานลงอย่างมีนัยสำคัญที่ปกติจะมีการพักฐานระหว่างทางไม่ต่ำกว่า 5%
อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับการประเมินมูลค่าหุ้นไทยในปัจจุบันที่ตึงตัวมากขึ้น บล.ทิสโก้จึงมองภาวะตลาดช่วงนี้เป็นเพียงการเทรดดิ้ง-เก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น โดยแนะนำนักลงทุนควรทยอยขายกระชับพอร์ตและถือเงินสดเพิ่มเพื่อรอจังหวะตลาดปรับฐาน สำหรับหุ้นแนะนำในเดือน มิ.ย. ต้องเลือกลงทุนอย่างพิถีพิถัน เน้นหุ้นพื้นฐานดีขนาดใหญ่ถึงขนาดกลางที่ราคายังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาด (Laggards) และที่สำคัญยังมี Upside น่าสนใจ แนะนำ AMATA, CK, KBANK, SCCC ผสานกับหุ้นที่แนวโน้มกำไรยังเติบโตได้ทั้ง 2 ปีข้างหน้า ท่ามกลางวิกฤติ COVID-19 สวนทางกำไรตลาดปีนี้ที่คาดว่าจะลดลงกว่า 30%
แนะนำ BCH, TVO เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำในเดือน มิ.ย. คือ AMATA, BCH, CK, KBANK, SCCC และ TVO ด้านแนวรับและแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,320, 1,300, 1,270-1,280 และ 1,360, 1,390-1,400 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ (1) พัฒนาการของความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีนระลอกใหม่ และ (2) โอกาสเกิดการผิดนัดชำระหนี้-การล้มละลายของบริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวให้รอดพ้นจากวิกฤติ COVID-19 ได้