1 มิถุนายน 2563 : หลังจากที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 ประเทศจีน จนลามไปทั่วโลก ส่งผลกระทบทั้งเศรษฐกิจและการดำรงชีวิตของประชาชน รวมถึงรายรับที่หายไปแบบไม่ทันได้ตั้งหลักของหลายๆ คนและหลายๆ อาชีพ ทำให้ย้อนกับมาคิดถึงการวางแผนทางการเงินอีกครั้ง ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว คนที่วางแผนทางการเงินมาดี ก็สามารถรับมือกับการสะดุดทางการเงินได้ แต่กับผู้ที่วางแผนไม่ดีหรือพึ่งจะเริ่มวางแผนทางการเงิน ต้องกลับมาทบทวนกันอีกครั้ง เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน จากบทเรียนของโรคระบาดในครั้งนี้
การลงทุน คือ หนึ่งในแผนทางการเงินที่หลายคนเลือกใช้ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อการออมมีมากมายอยู่ในท้องตลาด แต่ด้วยสถานการณ์การลงทุนในภาวะโรคระบาด ย่อมมีความเสี่ยงไปกับความผันผวน แล้วจะเลือกลงทุนอย่างไรให้รับมือกับภาวะการณ์ในช่วงนี้ได้ โดยเฉพาะกลุ่มวัยเกษียณ ที่จะต่อยอดเงินออมที่มีอยู่ให้ปลอดภัยได้อย่างไร และการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจ
ล่าสุด นางสาวสาริกา อภิวรรธกกุล ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมความรู้ตลาดทุนและศูนย์ประสานงานต่างจังหวัด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ในช่วงนี้ที่มีผลิตภัณฑ์การลงทุนออกมาให้เลือกหลายรูปแบบ ซึ่งหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เกษียณอายุ การทำงานที่มีเงินเก็บหลังเกษียณอาจมองๆ อยู่อย่างสนใจ
ในช่วงที่ผ่านมามีการเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษรุ่น “เราไม่ทิ้งกัน” โดยในช่วงวันที่ 14 – 20 พฤษภาคม 2563 เสนอขายให้เฉพาะผู้ลงทุนที่อายุ 60 ขึ้นไปก่อนที่จะเริ่มขายให้ประชาชนทั่วไป ช่วงวันที่ 21 – 27 พฤษภาคม และผู้ซื้อทุกกลุ่มในช่วงวันที่ 28 พฤษภาคม ถึง 10 มิถุนายน 2563 นี้
พันธบัตรรัฐบาลที่ว่านี้ คืออะไร เหมาะสมที่จะลงทุนไหมสำหรับเงินเก็บยามเกษียณ ดังนั้น มาสำรวจความพร้อมด้วยหลัก “รู้เขา รู้เรา” โดยขอเริ่มจาก “รู้เรา” ก่อน “รู้เรา” ก่อนการลงทุนควรสำรวจการเงินของตัวเอง 3 ข้อ (1) รายได้หลังเกษียณ เช่น เงินบำนาญ เงินประกันสังคม เงินปันผล เพียงพอต่อการยังชีพหรือไม่ (2) รายจ่ายประจำ เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่ารักษาพยาบาล ภาระหนี้สิน และเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน เป็นต้น
(3) เงินออม มีอยู่เพียงพอจะใช้ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือพอจะนำไปลงทุนให้งอกเงยได้แค่ไหน อยู่ได้สบายจนถึงบั้นปลายชีวิตหรือไม่ เมื่อสำรวจเงินเข้า เงินออกและเงินที่มีอยู่ของตัวเองแล้ว มาพิจารณาปัจจัยอื่นต่อ ที่สำคัญ 4 เรื่อง คือ
1. ความเสี่ยง – ความสามารถในการรับความเสี่ยง เนื่องจากเป็นเงินก้อนสุดท้ายจึงรับความเสี่ยงสูงมากไม่ได้เหมือนเคย และบางท่านอาจเกิดความเครียดและวิตกกังวลอย่างมากหากลงทุนแล้วขาดทุน
2. สภาพคล่อง – การลงทุนในสินทรัพย์บางประเภทต้องทิ้งเงินไว้นาน ถอนออกไม่ได้ หรือถอนได้แต่ต้องยอมขาดทุน ดังนั้นจึงต้องไม่ลืมที่จะนึกถึงความจำเป็นในการใช้เงินให้ครบถ้วน
3. แบ่งเงินให้เหมาะสม – ควรกันเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่ายฉุกเฉินไว้ก่อนแล้วจึงค่อยลงทุน และควรกระจายลงทุนในผลิตภัณฑ์หลายประเภทและหลายที่เพื่อกระจายความเสี่ยง
4. ลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุญาต ต้องตรวจสอบจากทางการหรือสถาบันการเงินที่ให้บริการก่อนตัดสินใจลงทุน หรือตรวจสอบได้ที่แอปพลิเคชัน SEC Check First ของ ก.ล.ต. เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพมาหลอกลวงให้ลงทุน
โดยหลักการลงทุนมักแนะนำให้ผู้ลงทุนวัยเกษียณระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูง เช่น หุ้น หุ้นกู้ที่เสี่ยงสูง (ให้ผลตอบแทนสูง) เช่น ลงทุนได้บ้าง 5-10% ของเงินลงทุนทั้งหมด ส่วนที่เหลือควรลงทุนความเสี่ยงปานกลางถึงต่ำ ได้แก่ เงินฝาก พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ เป็นต้น
“รู้เขา” ต้องรู้จักผลิตภัณฑ์ก่อนที่จะลงทุน ซึ่งสำหรับพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษนี้เป็น ตราสารหนี้ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง มีความเสี่ยงต่ำ อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากทั่วไป และได้รับดอกเบี้ยสม่ำเสมอปีละ 2 ครั้ง ตลอดการถือครอง
เหรียญมีสองด้านฉันใด การลงทุนก็มีสองด้านที่ต้องทำความเข้าใจให้ดีก่อนตัดสินใจฉันนั้น
สิ่งที่ต้องรู้ก่อนซื้อพันธบัตรออมทรัพย์พิเศษ
1. สภาพคล่อง พันธบัตรมีระยะเวลาถือครองยาว (5 ปี หรือ 10 ปี) ถ้าจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนนี้ก่อนพันธบัตรจะครบอายุ อาจขายได้ราคาที่สูงหรือต่ำกว่าที่ลงทุนไปก็ได้ ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ย ในตลาดขณะนั้น ทั้งนี้ การโอนกรรมสิทธิ์หรือเปลี่ยนมือต้องทำตามเงื่อนไขและขั้นตอนที่กำหนดไว้ด้วย
2. ดอกเบี้ยแบบขั้นบันได โดยเสนอให้ดอกเบี้ยสูงในปีท้าย ๆ เพื่อจูงใจให้ถือจนครบกำหนด การตัดสินใจจึงต้องดูที่ดอกเบี้ยเฉลี่ย
3. ค่าใช้จ่าย ดอกเบี้ยที่ได้รับจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ของรายได้ดอกเบี้ย
4. ความเสี่ยงจากดอกเบี้ยคงที่ หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงกว่าดอกเบี้ยพันธบัตร ผู้ถือพันธบัตรจะไม่ได้ประโยชน์เพิ่มเติม
เมื่อสำรวจตัวเองและเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุน “รู้เขา รู้เรา” แล้ว ก็ย่อมตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม และขอฝากเตือนทุกท่านให้ระวังการถูกหลอกลวงให้ลงทุนโดยการชักชวนด้วยผลตอบแทนที่สูง หากไม่แน่ใจสามารถติดต่อมาได้ที่ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต. สายด่วน 1207