31 มีนาคม 2563 : นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า “กรณีบลจ.ทหารไทย อิสท์สปริง (TMB Eastspring) ประกาศปิด 4 กองทุนนั้น ล่าสุด อีสท์สปริง อินเวสท์เมนท์ (สิงคโปร์) ในฐานะพันธมิตรหลักได้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเสริมทัพร่วมกับทีม TMBAM Eastspring เดินหน้าบริหารกองทุน เพื่อนำเงินลงทุนมาจัดสรรคืนให้กับผู้ถือหน่วยทุกคน
ทั้งนี้ บลจ.คาดว่าจะสามารถทยอยจัดสรรเงินคืนให้ลูกค้าทั้ง 4 กองทุน เริ่มต้นสัปดาห์นี้เป็นครั้งแรกภายในกรอบสัดส่วนสูงสุด 10% จากนั้นทยอยคืนในทุกๆ 2 สัปดาห์ ซึ่งคาดว่าใน 1 เดือน ผู้ถือหน่วยจะได้รับเงินคืนภายในกรอบสัดส่วนสูงสุด 20% ตามกระแสเงินสดที่จะเข้ามาจากสินทรัพย์ที่ครบอายุ และในระหว่างนี้บลจ.อยู่ระหว่างศึกษาวิธีการที่จะเพิ่มกลไกให้กองทุนมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในการจัดสรรเงินลงทุนคืนเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหน่วยลงทุน และคาดว่าจะจัดสรรเงินคืนให้ได้ทั้งหมดหรือให้ได้มากที่สุดภายในระยะเวลา 3 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ที่สำคัญคือหลังจากปิดกองทุนพบว่าช่วยลดแรงกดดันต่อราคาและมูลค่าหน่วยลงทุน หรือ NAV ได้อย่างมีนัยสำคัญ”
ในส่วนของทีเอ็มบีซึ่งปัจจุบันถือหุ้น 35% ในบลจ. และมีฐานะเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่ายกองทุนก็พร้อมให้การสนับสนุนในกรณีที่กำหนดการจัดสรรเงินคืนดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับความต้องการใช้เงินทุนระยะสั้นของลูกค้ากองทุนบางราย จึงได้ออกโปรแกรมช่วยเหลือในรูปแบบสินเชื่ออัตราพิเศษสำหรับผู้ถือหน่วยลงทุนทั้ง 4 กองทุน ครอบคลุมทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนกลุ่มลูกค้าธุรกิจทุกคน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าทีเอ็มบีหรือไม่ใช่ลูกค้าปัจจุบันของทีเอ็มบีก็ตาม
โดยสำหรับลูกค้ารายย่อยนั้น สามารถขอสินเชื่อได้ในวงเงินสูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษที่ 0.17% ต่อเดือน สำหรับวงเงิน 1 ล้านบาทแรก และ 0.25% ต่อเดือน สำหรับวงเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 5 ล้านบาท สำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจนั้น ธนาคารกำหนดวงเงินสูงสุด 50 ล้านบาทต่อราย ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0.17% ต่อเดือน สำหรับวงเงิน 1 ล้านบาทแรก และ 0.25% ต่อเดือน สำหรับวงเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 5 ล้านบาท และอัตราดอกเบี้ย 0.33% ต่อเดือน สำหรับวงเงินส่วนที่เกิน 5 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 50 ล้านบาท ซึ่งจะพิจารณาวงเงินให้สินเชื่อจากมูลค่าหน่วยลงทุนคงเหลือของลูกค้า (มูลค่าหน่วยลงทุนของลูกค้า ณ วันประกาศปิดกองทุนหักออกด้วยยอดเงินที่ได้รับคืนจากบลจ.) และปรับด้วยอัตราส่วนการให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (loan-to-value) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของธนาคาร
นายปิติ กล่าวในตอนท้ายว่า “ธนาคารพร้อมให้การสนับสนุนมาตรการด้านสภาพคล่องเพื่อเสริมเสถียรภาพตลาดการเงินของแบงก์ชาติ ขณะที่ในส่วนของลูกค้านั้นก็ได้มีการดำเนินการอย่างทันที เพื่อที่จะติดต่อสอบถามความต้องการของลูกค้ากองทุน ซึ่งจากข้อมูลที่ได้รับก็มั่นใจว่าโปรแกรมนี้จะสามารถให้ความช่วยเหลือลูกค้าได้อย่างครอบคลุมและเพียงพอโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ถือเป็นความตั้งใจของทีเอ็มบีในการร่วมบรรเทาผลกระทบให้กับลูกค้าทุกกลุ่มในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เช่นนี้”
ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถนำหน่วยลงทุนในกองทุนเปิดทหารไทย ธนเพิ่มพูน, ธนไพบูลย์, ธนพลัส และธนไพศาล ซึ่งถือเป็นหลักประกันชั้นดี เนื่องจากตราสารที่อยู่ในพอร์ตล้วนมี Investment Grade ที่ดี มาขอสินเชื่อในโปรแกรมดังกล่าวได้ โดยขอเน้นย้ำว่าทีเอ็มบียินดีให้ความช่วยเหลือลูกค้าทุกคนที่มีการลงทุนใน 4 กองทุนดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าที่ซื้อกองทุนดังกล่าวโดยตรงกับบลจ.ทหารไทย อิสท์สปริง ลูกค้าที่ซื้อผ่านทางทีเอ็มบี หรือลูกค้าที่ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายอื่นๆ ก็สามารถเข้ามาติดต่อขอสินเชื่อได้ทุกคน โดยสามารถแจ้งความจำนงผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ท่านซื้อขายหน่วยลงทุน หรือติดต่อทางบลจ.ทหารไทย อิสท์สปริง โทร 1725 ได้โดยตรง