กรุงเทพฯ ประเทศไทย 25 สิงหาคม 2559 : บริษัท เรย์เธียน เว็บเซนส์ ผู้นำระดับโลกด้านระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น “ฟอร์ซพอยต์ ” (Forcepoint™) พร้อมทั้งผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายรายการในประเทศไทย นับว่าเป็นการผสานรวมกันที่ประสบความสำเร็จระหว่างผลิตภัณฑ์ด้านไซเบอร์ของบริษัท เว็บเซนส์ (Websense®) และบริษัท เรย์เธียน (Raytheon) และเมื่อเร็วๆนี้ ยังได้ซื้อบริษัท สโตนซอฟต์ (Stonesoft) ผู้ดำเนินธุรกิจด้านไฟร์วอลล์รุ่นใหม่ หรือ เน็กซ์ เจนเนอเรชั่น ไฟร์วอลล์ (NGFW) ส่งผลให้บริษัท ฟอร์ซพอยต์ พร้อมนำเสนอรูปแบบใหม่เพื่อจัดการกับความท้าทายด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและข้อกำหนดของกฎระเบียบต่างๆ ที่องค์กรธุรกิจและหน่วยงานภาครัฐกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
บริษัท ฟอร์ซพอยต์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 3 รายการ เพื่อจัดการกับภัยคุกคามภายในองค์กร การป้องกัน Microsoft Office 365™ บนระบบคลาวด์ และการรักษาความปลอดภัยสำหรับเครือข่ายรุ่นใหม่ที่มีลักษณะแบบกระจายได้อย่างดีเยี่ยม
การตรวจหาภัยคุกคามจากภายในองค์กร
SureView® Insider Threat 8.0 รุ่นใหม่ของฟอร์ซพอยต์ จะช่วยให้ลูกค้ามีระบบเตือนภัยล่วงหน้า และสามารถระบุผู้ใช้ที่มีความเสี่ยงสูงสุดภายในองค์กรได้โดยอัตโนมัติโดยพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้ใช้และข้อมูลที่ได้รับจาก TRITON AP-DATA ซึ่งเป็นโซลูชั่นป้องกันข้อมูลสูญหาย (DLP) ของฟอร์ซพอยต์ ทั้งนี้ SureView Insider Threat จะรวบรวมและให้ข้อมูลบริบทที่ครอบคลุมเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ รวมถึงการบันทึกและการแสดงกิจกรรมของผู้ใช้ให้เห็นทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังพฤติกรรมที่เสี่ยงต่างๆ
การป้องกัน Office 365 บนระบบคลาวด์
การผลักดันแอพพลิเคชั่นองค์กรเข้าสู่ระบบคลาวด์ ทำให้ต้องมีการป้องกันข้อมูลในทุกที่ โดยขณะนี้แพลตฟอร์ม Forcepoint TRITON ถูกโฮสต์อยู่ใน Microsoft Azure™ และบังคับใช้ DLP สำหรับ Microsoft Exchange Online ใน Office 365 จากระบบคลาวด์ของไมโครซอฟท์โดยตรง สำหรับโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัย TRITON ของฟอร์ซพอยต์ จะบังคับใช้นโยบายที่สอดคล้องกันทั้งบนระบบคลาวด์ ในสถานที่ทำงาน และที่อุปกรณ์ปลายทาง ซึ่งจะให้การป้องกันแบบไฮบริดที่ครอบคลุมสำหรับองค์กรแบบกระจายที่มีพนักงานทำงานนอกสถานที่เป็นหลัก
การรักษาความปลอดภัยสำหรับเครือข่าย
การนำเสนอไฟร์วอลล์รุ่นใหม่แบบกระจายที่มีความยืดหยุ่นสูงของ Stonesoft NGFW จากฟอร์ซพอยต์ ทำให้การรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์กรมีความแข็งแกร่งและดำเนินการได้ง่ายสำหรับองค์กรที่มีการกระจายตัวสูง นอกจากนี้การได้รับใบรับรอง Common Criteria ทำให้ สโตนซอฟต์ ให้มุมมองที่ครอบคลุม ให้การตอบสนองที่ดี และสามารถบังคับใช้นโยบายกับตำแหน่งที่ตั้งนับร้อยหรือนับพันแห่งภายใต้คอนโซลการจัดการเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ฟอร์ซพอยต์ยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ ฟอร์ซพอยต์ สโตนซอฟต์ เน็กซ์ เจนเนอเรชั่น ไฟร์วอลล์ (Forcepoint™ Stonesoft® Next Generation Firewall) โดยได้รับการจัดอันดับจาก เอ็นเอสเอส แลบส์ (NSS Labs) ให้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “แนะนำ” (Recommended) เป็นปีที่สี่ ติดต่อกัน และจากการทดสอบ NSS Labs Next Generation Firewall (NGFW) ซึ่งเป็นการประเมินผลผลิตภัณฑ์อิสระจากการใช้งานจริงของบุคคลที่สาม จากการทดสอบพบว่า ผสานรวมคุณสมบัติที่แข็งแกร่งในด้านความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความคุ้มค่าของต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ (TCO) ผลิตภัณฑ์ โดยได้รับคะแนนดีเยี่ยม จากความสามารถในการบล็อกสิ่งที่เป็นอันตรายได้ทั้งหมดและไม่มีค่าผลบวกลวงในเนื้อหาที่ไม่เป็นอันตรายด้วย
“เรามีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้รับการจัดอับดับจากเอ็นเอสเอส แลบส์ (NSS Labs) ให้อยู่ในกลุ่ม ‘แนะนำ’ (Recommended) เป็นปีที่สี่” นายแอนท์ตี้ เรโจเน็น รองประธานด้านความปลอดภัยสำหรับเครือข่าย บริษัท ฟอร์ซพอยต์ กล่าว และว่า “การมีบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้มาให้การรับรองถึงความมีประสิทธิภาพด้านความปลอดภัยและความคุ้มค่าของต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ของเรา ทำให้ลูกค้ามีข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยในการตัดสินใจและสร้างความมั่นใจได้อย่างมากเมื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ฟอร์ซพอยต์ สโตนซอฟต์ เน็กซ์ เจนเนอเรชั่น ไฟร์วอลล์ (Forcepoint Stonesoft NGFW)”
ผลิตภัณฑ์ ฟอร์ซพอยต์ สโตนซอฟต์ เน็กซ์ เจนเนอเรชั่น ไฟร์วอลล์ (Forcepoint Stonesoft Next Generation Firewall) ตอบสนองความต้องการหลายอย่าง เนื่องจากเป็นการผสานรวมการทำงานของระบบควบคุมแอพพลิเคชั่น ความสามารถในการบริหารจัดการแบบ “โดยไม่ต้องลงมือเอง” (zero-touch) ให้ความยืดหยุ่นสำหรับการทำงานในลักษณะหลายเลเยอร์ เพิ่มขีดความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัย และมีระบบป้องกันการบุกรุก (IPS) รวมอยู่ในโซลูชั่นเดียวที่ทั้งคุ้มค่าและสามารถนำไปปรับใช้ได้ง่าย
ผลิตภัณฑ์นี้มีความยืดหยุ่นที่โดดเด่น ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะเทคนิคหลบหลีกการตรวจจับจากอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย (AET) ที่อุปกรณ์อื่นๆ อาจตรวจไม่พบ นอกจากนี้ยังให้การป้องกันช่องโหว่โดยใช้ระบบการทำงานอัจฉริยะผ่านแอพพลิเคชั่นและอุปกรณ์ปลายทางด้วย 
