18 มีนาคม : นายวิน พรหมแพทย์ , CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า จากภาวะตลาดของทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) ในเดือนมกราคม – กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีราคาผันผวนต่ำกว่าภาพรวมตลาดหุ้น โดยปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ REITs ยังคงได้รับความสนใจมาจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
ส่วนในเดือนมีนาคม 2563 แม้ว่าราคา REITs ปรับลดลงจากความกังวลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป สอดคล้องกับภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลก อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอัตราผลตอบแทนนับจากต้นปีถึงปัจจุบันหรือ YTD (1 มกราคม 2563 – 12 มีนาคม 2563) ของดัชนีอ้างอิงพบว่า REITs ในไทยและสิงคโปร์ให้อัตราผลตอบแทนลดลงในอัตราที่ต่ำกว่าตลาดหุ้น (ที่มา : Bloomberg ณ 12 มีนาคม 2563)
“เรามองว่าเป็นธรรมชาติของ REITs ซึ่งในระยะสั้นราคามีความผันผวนในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้น แต่หากเป็นการลงทุนแบบระยะยาวตั้งแต่ 5-7 ปีขึ้นไป REITs จะให้ผลตอบแทนคล้ายกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า เนื่องจากจะได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากรายได้ค่าเช่า และอาจมีผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากการประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น ดังนั้นไม่ควรตกใจกับราคา REITs ที่ลดลงและตลาดผันผวนในช่วงนี้ รวมถึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์คุณภาพดีที่มีราคาถูกลง เพื่อคาดหวังผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงกลางปีที่ผ่านมา” นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ดังกล่าวแนะนำว่าสามารถเพิ่มน้ำหนักลงทุนใน REITs และ Infrastructure Fund (กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) ผ่านการลงทุนในกองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (PRINCIPAL iPROP) โดยในช่วงกว่า 2 เดือนแรกที่ผ่านมาได้วางกลยุทธ์ Overweight หรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนใน REITs และ Infrastructure Fund สิงคโปร์ รวมถึง Underweight หรือลดน้ำหนักการลงทุน REITs ในไทย ส่งผลให้กองทุน PRINCIPAL iPROP มีความผันผวนต่ำกว่าดัชนีอ้างอิง โดยมีอัตราผลตอบแทน YTD -6.8% เทียบกับดัชนีอ้างอิงอยู่ที่ -8.9% (ที่มา : Bloomberg ณ 12 มีนาคม 2563)
ขณะที่ผู้จัดการกองทุน PRINCIPAL iPROP ได้วางกลยุทธ์เน้นลงทุน REITs ที่มีสินทรัพย์คุณภาพดี อัตราเช่าพื้นที่สูง และมีรายได้ค่าเช่ามั่นคง โดยเน้นเข้าลงทุนกลุ่มโลจิสติกส์ ดาต้าเซ็นเตอร์ อาคารสำนักงาน รวมถึง Infrastructures Fund ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบมากจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และแทบไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างไรก็ตามได้หลีกเลี่ยงลงทุน REITs กลุ่มโรงแรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ปัจจุบัน
ปัจจุบันกองทุน PRINCIPAL iPROP มีให้เลือกลงทุนทั้งชนิดสะสมมูลค่า (Class A) ชนิดจ่ายเงินปันผล (Class D) ชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Class R) และชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม (Class C) โดยนับจากเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555 กองทุน PRINCIPAL iPROP (Class D) จ่ายเงินปันผลแล้ว 31 ครั้ง รวม 6.075 บาทต่อหน่วย ซึ่งสามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่องทุกไตรมาส
ล่าสุด กองทุน PRINCIPAL iPROP กำหนดจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 32 ในอัตราประมาณการ 0.10 บาทต่อหน่วย กำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 31 มีนาคม 2563 (ผู้ซื้อหน่วยลงทุนตั้งแต่ 31 มีนาคม 2563 นี้จะไม่ได้รับเงินปันผลดังกล่าว) โดยผู้ถือหน่วยลงทุนชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Class-R) สามารถขายคืนหน่วยลงทุนในกองทุน PRINCIPAL TREASURY ได้ตั้งแต่ 2 เมษายน 2563 เป็นต้นไป) และชนิดสะสมมูลค่า (Class A) ชนิดจ่ายเงินปันผล (Class D) ชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ (Class R) และชนิดผู้ลงทุนกลุ่ม (Class C) รับเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้ถือหน่วยลงทุน 8 เมษายน 2563