16 มีนาคม 2563 : ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกผันผวนหนักมาก ผันผวนไปในทิศทางเกือบล้มละลายเลยก็ว่าได้ จากปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น คือ สงครามราคาน้ำมัน ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงอย่างการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังกดดันหุ้นไทยเหวั่ยงไปมาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,128.91 จุด ลดลง 17.27% จากสัปดาห์ก่อน
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 94,371.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.53% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 13.83% จากสัปดาห์ก่อน มาปิดที่ 232.09 จุด ซึ่งหุ้นไทยร่วงลงช่วงต้นสัปดาห์ จากความกังวลต่อการทำสงครามราคาน้ำมัน หลังกลุ่มโอเปกและพันธมิตรไร้ข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับลดกำลังการผลิตในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มี.ค. ก่อนจะดิ่งลงอีกครั้งในเวลาต่อมาหลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ภาวะระบาดใหญ่ทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้หุ้นไทยร่วงลงแรง
ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) หรือ หยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2563 เป็นระยะเวลา 30 นาที ตั้งแต่เวลา 14:38 ถึง 15:08 น. หลังดัชนีราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 125.05 จุด หรือ 10% จากดัชนีราคาปิดวันทำการก่อนหน้า (Circuit Breaker Level 1) และในวันที่ 13 มี.ค. 2563 ได้หยุดทำการซื้อขายชั่วคราว 30 นาที ตั้งแต่เวลา 09:59 ถึง 10:29 น. เช่นกัน หลังดัชนีปรับตัวร่วงลดลงกว่า 10% หรือ 111.52 จุด มาอยู่ที่ระดับ 1,003.39 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4,138.46 ล้านบาท ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯต้องใช้มาตรการหยุดทำการซื้อขายโดยอัตโนมัติเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาทีดังกล่าวทันที
ความผันผวนที่เกิดขึ้น อาจจะคาดเดาสถานการณ์ได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายวงกว้างนอกประเทศจีนมากขึ้น ทำให้ดัชนีทั่วโลกปรับลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นกับไวรัสฯดังกล่าวจะจะจัดการได้เร็วแค่ไหน และจะขยายวงกว้างอีกแค่ไหน เพราะประเทศที่มีการติดเชื้อไวรัสฯนี้ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกมาก เป็นผลกระทบแบบลูกโซ่ กดดันการทำกำไรของธุรกิจ
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้และอนาคตภายใต้ความผันผวนที่รุนแรง ทางตลาดหลักทรัพย์ฯและสมาคมนักวิเคราะห์ เปิดเผยว่า แม้ตลาดหุ้นปรับลดลงมาตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.2563 ที่ผ่านมา เกิดจากปัจจัยหลักคือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ภาพรวมของดัชนีและราคาหุ้นหลายตัวปรับลงมามาก แต่ในทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ เพราะปัจจุบันมีราคาหุ้นที่อยู่ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาดหลักรัพย์เอ็มเอไอ(mai) ต่ำสุด ในรอบ 5 ปี ถึง 231 ตัว อีกทั้งยังมีหุ้นกว่า 448 ตัว ที่มีมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งหมายความสินทรัพย์เหล่านี้มีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าหุ้นของบริษัท ถือเป็นโอกาสเลือกสำหรับนักลงทุนระยะยาว ซึ่งต้องสามารถรับความผันผวนระยะสั้นได้
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทที่ประกาศจะจ่ายผลตอบแทนจากเงินปันผลแล้วเมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันที่มีปันผลสูงกว่า 5 % มีทั้งหมด 66 บริษัท แบ่งเป็น
1.จ่ายปันผล 7-7.5 % 41 บริษัท
2.จ่าย 7.5-10 % ถึง 19 บริษัท
3.จ่ายมากกว่า 10 % อีก 6 บริษัท
ซึ่งหากเทียบกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ที่อยู่ 0.8% ถือเงินปันผลจากหุ้นเหล่านี้ให้ผลตอบแทนดีกว่า
สำหรับสัปดาห์ถัดไป (16-20 มี.ค.2563) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,085 และ 1,040 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,165 และ 1,200 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ รายละเอียดของกองทุนพยุงหุ้น การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ สถานการณ์ราคาน้ำมัน และสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน และยอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ. ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น ยอดค้าปลีกและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนม.ค.-ก.พ.ของจีน รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.พ.ของยูโรโซนและญี่ปุ่น
หมายเหตุ :
– การหยุดการซื้อขายเนื่องจาก Circuit Breaker เป็นไปตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการซื้อขาย การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2555
– หลังจากเปิดทำการซื้อขายแล้ว สมาชิกสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ตามปกติ