5 มีนาคม 2563 : นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บริษัทในเครือธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ปรับประมาณการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย(จีดีพี) ปีนี้ใหม่เหลือ 0.5% จากกรอบเป้าหมายเดิมที่ 2.7% ภายใต้เงื่อนไขถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในจีน ที่สามารถควบคุมจำนวนการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อได้ในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า และสถานการณ์ในประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศอิตาลีและเกาหลีใต้สามารถควบคุมได้ในไตรมาส 2 ขณะที่สถานการณ์ในไทย ยังไม่ปรากฎเหตุการณ์ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม แม้ดูเหมือนว่าตัวเลขนี้จะปรับลดค่อนข้างมาก แต่ก็เป็นการประเมินตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนค่อนข้างเร็ว และหากการระบาดมีสัญญาณคลี่คลายลงภายในช่วงครึ่งปีแรกตามสมมติฐาน คงจะทำให้เห็นจีดีพีที่กลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 4 ทั้งนี้ อยากย้ำว่าสถานการณ์รอบนี้ไม่เหมือนปี 2540 เนื่องจากรอบนี้เป็นเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ขณะที่ปี 2540 มาจากปัญหากลไกเศรษฐกิจและภาคธุรกิจที่ไม่สมดุลซึ่งแก้ยากกว่าและฟื้นตัวได้ช้ากว่ามาก
“ผลกระทบหนักสุดคงอยู่ที่ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่ารายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไป 4.1 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.4% ของจีดีพี ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจะหายไป 8.3 ล้านคน หรือหดตัว -20.8% จากปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ยังมีภาคการค้าระหว่างประเทศของไทยที่การส่งออกจะหดตัวลึกขึ้นเป็น -5.6% จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ -1.0% เนื่องจากการแพร่ระบาดที่ขยายเป็นวงกว้างมากขึ้นส่งผลให้เศรษฐกิจโลกทรุด และความต้องการต่อสินค้าออกไทยลดลง ตลอดจนกระทบห่วงโซ่การผลิต
โดยเฉพาะของจีนที่กระทบต่อเนื่องมายังภาคการผลิตของไทย ขณะเดียวกันการบริโภคและลงทุนในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงเช่นกัน เพราะผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายและเดินทางออกนอกบ้าน อันทำให้ธุรกิจค้าปลีกไทยในปีนี้น่าจะได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท”นางสาวณัฐพร กล่าว
นางสาวณัฐพร กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวยังคงต้องพึ่งมาตรการทางการคลังและมาตราการทางเงิน ในส่วนของมาตราการทางการคลังในช่วงที่ผ่านมาได้ช่วยผู้ประกอบการและบุคคลากรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แต่ด้วยสถานการณ์ในขณะนี้ค่อนข้างรุนแรงขยายวงกว้างไปนอกประเทศจีนมากขึ้น โดยเฉพาะในแถบยุโรปซึ่งเป็นคู่ค้ากับไทย ทำให้ไทยยังคงได้รับผลกระทบอยู่มาก
ดังนั้น มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 100,000 ล้านบาท ที่ภาครัฐกำลังทำในขณะนี้ อาจจะไม่ถูกใจบางคน แต่ถ้าไม่อัดเงินเข้าไปในระบบไม่เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศเลย จะยิ่งมีผลเสียกว่าเดิม จึงต้องส่งเงินเข้าระบบให้เร็วที่สุดที่จะทำได้
ส่วนภาคการเงิน การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงอน (กนง.)ในวันที่25มี.ค.2563นี้ กนง.มีโอกาสปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก0.25% และหากระหว่างทางรายวันก่อนถึงการประชุมกนง.ดังกล่าว ด้วยเงื่อนไขสถานการณ์ที่แย่ลงจากปัจจุบัน กนง.ก็มีโอกาสลดดอกเบี้ยลง0.50% เช่นเดียวกัน และในส่วนของธนาคารพาณิชย์ก็จะมีกาปรับลดดอกเบี้ยลงตามเพื่อช่วยลูกค้า
ดังนั้น สิ่งจำเป็นในขณะนี้คือมาตราการทางดารคลังและมาตรการทางการเงินที่จะออกมาช่วยคู่กัน สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังนั้น คาดว่าหากสถานการณ์การระบาดของไวรัสฯ เป็นไปตามสมมติฐานคือเริ่มดีขึ้น อาจทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและจีดีพีกลับมาขยายตัวเป็นบวกอีกครั้ง
นางสาวณัฐพร กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทย ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ในช่วงครึ่งปีแรก จะกระทบต่อรายได้ ทั้งรายได้จากดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียม โดยเฉพาะรายได้ดอกเบี้ยหลักจากเงินให้สินเชื่อที่จะเผชิญทั้ง ผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม และสินเชื่อที่ศูนย์วิจัยฯปรับลดประมาณการณ์การเติบโตในปีนี้ไม่เกิน 1% จากกรอบล่างเดิมที่ 3.0% และสินเชื่อกลุ่มธุรกิจทั้งรายใหญ่และเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบมากสุด คาดว่า ปีนี้สินเชื่อทั้งสองกลุ่มจะติดลบต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาที่ต่ำกว่า-1.8%
ส่วนสื่เชื่อรายย่อยที่รวมสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ และบัตรเครดิตปีนี้เติบโตประมาณ 5% จากช่วงปีที่แล้วที่เติบโตสูงถึง7.5% ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) กลุ่มธนาคารในปีนี้ยังประเมินยาก แต่ในไตรมาส1/2563 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.1-3.2% ดพิ่มขึ้นจากสิ้นปี2562ที่ 2.89% เทียบกับ 2.2% ณ สิ้นปี 2562 ขณะที่ ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้ด้อยคุณภาพอาจเพิ่มขึ้นตามทิศทางเอ็นพีแอลที่มีโอกาสขยับขึ้นจาก 2.98% เมื่อสิ้นปี 2562 โดยต้องรอดูสถานการณ์และตัวเลขไตรมาสแรกที่จะออกมาภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่ด้วยเพื่อประเมินทิศทางที่ชัดเจนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม โจทย์สำคัญกว่าของธนาคารพาณิชย์ไทย ณ ขณะนี้ คือการช่วยเหลือลูกค้าผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่ร่วมมือกับทางการ เพื่อให้ลูกค้าผ่านพ้นช่วงยากลำบากนี้ไปก่อน ขณะที่ผลกระทบต่อผลประกอบการในปีนี้ เป็นสิ่งที่นักลงทุนรับรู้ไประดับหนึ่งแล้ว และเป็นทิศทางที่สอดคล้องกับสถาบันการเงินทั่วโลก