18 กุมภาพันธ์ 2563 : ความกังวลว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอู่ฮั่น จะส่งผลให้เศรษฐกิจจีน รวมถึงเศรษฐกิจโลกกลับมาชะลอตัว และได้กดดันให้ตลาดกลับสู่สภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-off) ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างปรับฐาน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนซึ่งเผชิญการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่นมากที่สุด ก็มีการปรับฐานลงกว่า 3.5% หนักกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
ภาวะปิดรับความเสี่ยงดังกล่าวของตลาด ส่งผลให้นักลงทุนเลือกที่จะพักเงินในสินทรัพย์ปลอดภัย Safe Haven) อาทิ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Treasuries) ขณะที่ตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น อย่าง ตราสารกลุ่ม HY กลับเผชิญแรงเทขายทำกำไร
แม้ว่าตลาดโดยรวมจะปิดรับความเสี่ยง แต่นักลงทุนบางส่วนก็ยังคงต้องการสินทรัพย์ที่ให้ปันผลที่สูงกว่าพันธบัตร (Search for Yields) อย่างสินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองทุนอสังหาฯและโครงสร้างพื้นฐาน ในช่วงที่ยีลด์จากพันธบัตรรัฐบาลต่างก็อยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม ในฝั่งตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวหนักจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสอู่ฮั่น ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดิ่งลงรุนแรงราว 9% ขณะที่ ราคาทองคำ โดยเฉพาะราคาทองคำในรูปเงินบาทปรับตัวขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี
พอจะเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นจากกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาฯ ส่งผลให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือความเสี่ยงใหม่ที่เข้ามานี้อย่างไร และการปรับพอร์ตลงทุนยังเป็นหนทางที่ดีในขณะนี้ แล้วลงทุนอย่างไรจึงจะปลอดภัยตามสไตล์กูรูทางการเงินจากผู้จัดการกองทุนรวม
โดย นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM ได้ให้คำแนะนำการลงทุนช่วงนี้ว่า ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีความผันผวน อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และมีแนวโน้มต่ำลงได้อีกนั้น มองว่า การกระจายการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงคือแนวทางที่ดีที่สุด โดยกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Infrastructure Fund) ตราสารหนี้ รวมไปถึงการกระจายการลงทุนไปในต่างประเทศซึ่งจำเป็นมากขึ้น ส่วนหุ้นต่างประเทศเน้นลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีและไฮเทคที่ตลาดหุ้นไทยยังขาด
สำหรับดัชนีหุ้นไทยที่ปรับลดลง ทั้งนี้ เป็นผลจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา อย่างไรก็ตาม มองว่าเป็นจังหวะดีที่จะเข้าลงทุนในหุ้นไทย 4 กลุ่ม ที่มีโอกาสเติบโต
ได้แก่ 1.กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สนามบิน ภาคบริการ โลจิสติกส์ ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา ซึ่งราคาปรับย่อลง ถือเป็นโอกาสในการเลือกหุ้น ในแต่ละกลุ่มก็จะมีผู้นำกลุ่ม และดูได้จาก Selective Operating Margin
2.กลุ่มอาหาร 3.กลุ่มโรงพยาบาล ประเทศไทยก็ถือเป็น Hub และ 4.กลุ่มธุรกิจการเงิน ที่เป็นธนาคารขนาดเล็กมีตลาดลูกค้าเฉพาะกลุ่ม และนอนแบงก์ ก็น่าสนใจเข้าสะสมการลงทุน
ขณะที่ทางฝั่ง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิรไทย จำกัด (KAsset) นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิต รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน ระบุว่า ยังคงมองดัชนีหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,700 จุด โดยมุมมองดังกล่าวรวมปัจจัยเสี่ยงใหม่อย่างการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้ว ซึ่งเชื่อว่าเชื้อไวรัสฯดังกล่าวน่าจะควบคุมได้ภายใน 2-3เดือน และหากพิจารณาดูจะพบว่าไวรัสฯนี้ไม่ได้รุนแรง สำหรับผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนชราที่มีโรคประจำตัว
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 1/2563 ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าวค่อนข้างมากแน่นอน ประกอบกับปัจจัยลบภายในประเทศอย่างภัยแล้งและงบประมาณปี 2563 เข้ามาเพิ่มด้วยทำให้กดดันตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก ทั้งนี้ สินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นไทยก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ แต่ยังคงต้องคัดเลือกหลักทรัพย์พอสมควรเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น