14 สิงหาคม 2559 : ใจตุ้มๆตอมๆมากว่าอาทิตย์ เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมากับผลประชามติร่างรัฐธรรมนูญที่ต่างพากันกังวล ว่า “รับ” หรือ”ไม่รับ” สุดท้าย เสียงส่วนใหญ่ทั่วประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันเห็นดีเห็นงามไปกับ “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของเราคนปัจจุบัน
คราวนี้นับว่าประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ช่วยปูทาง Soft Landing ให้กับคณะ คสช.แบบเต็มกำลัง ทำให้ไม่ต้องหักดิบเพราะไม่ผ่านร่าง ฯ งานนี้ฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายสอง ฝ่ายสาม และอีกหลายๆฝ่ายต่างจับจ้องผลประกาศอย่างเป็นทางแบบใจจดใจจ่อ บางฝ่ายถึงขนาดต้องไปบนบานสานกล่าวอย่าให้ “รับ” บางฝ่ายก็ปากว่าตาขยิบหลังผลประชามติประกาศออกมา บางฝ่ายก็เตรียมแผนเดินหน้าพัฒนาประเทศต่อไป
จะว่าไปแล้ว การเมืองที่ว่าร้อนแล้ว ตลาดหุ้นไทยก็ร้อนไม่เบาเช่นกัน ก่อนวันลงประชามติฯ ตลาดหุ้นไทยร่วงเอาร่วงเอาหลังเจอวิกฤตราคาน้ำมันโลงดิ่ง พอมาเจอช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการรับร่างรัฐธรรมนูญเข้าไปอีก ก็ยิ่งกดดันหุ้นไทยเข้าไปอีก แต่หุ้นไทยแดงเดือดได้ไม่นาน เหมือนจะรู้ความในแห่เข้ามาซื้อหุ้นรอผลประกาศประชามติกันคึกครื้น และเป็นดังที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้
หลังผลประชามติฯออกมาอย่างที่มองไว้หุ้นไทยก็เขียวขจีเป็นว่าเล่น จนกูรูทางการลงทุน ต้องรีบออกมาเตือนให้ระวังบ้างก็ดี หลังจากที่มองว่านักลงทุนต่างประเทศ (ฟันด์โฟลล์) มาตามคาด ทำให้มองรอบหุ้นไทยขามีโอกาสทำ New Record เกิน 1.2 แสนล้านบาท ขับเคลื่อน SET Index เดินหน้าต่อได้ แต่ยังคงมองว่าโซนใกล้ Expected PER 17 เท่าเป็นบริเวณที่ต้องขายหุ้นแพงที่เกินมูลค่าพื้นฐาน นักลงทุนควรระมัดระวังไว้หน่อยก็จะดีไม่น้อย
เราก็ได้เห็นภาพตลาดหุ้นหลังผลประชามติไปแล้ว คราวนี้เรามาดูภาพดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ประจำเดือนสิงหาคม 2559กันบ้าง นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือFETCO Investor Confidence Index กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า “ความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกกลุ่ม ดันดัชนีฯ เข้าสู่กรอบร้อนแรงครั้งแรกในรอบ 20 เดือน ผลสำรวจชี้มาจากเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ด้านสถานการณ์การเมืองยังคงน่าจับตามองอย่างใกล้ชิด”
นางวรวรรณ ได้ให้ความเห็นอีกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนสิงหาคม 2559 ความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 23.31% ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ในกรอบร้อนแรง (Bullish) โดยมีปัจจัยจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ เป็นตัวดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน อย่างไรก็ตาม ในขณะทำการสำรวจซึ่งอยู่ในช่วงปลายเดือน ก.ค. 2559 นักลงทุนเห็นว่าการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน ทั้งนี้ หมวดธนาคาร (BANK) มีความน่าสนใจลงทุนมากที่สุด ขณะที่หมวดแฟชั่น (FASHION) ไม่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือนตุลาคม 2559) อยู่ที่ 128.81อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (Bullish) (ช่วงค่าดัชนีระหว่าง 0 – 200) ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง23.31% จากเดือนที่ผ่านมาที่ 104.46 ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ถึง 71.43% ดันให้ดัชนีต่างชาติแตะระดับร้อนแรงอย่างมาก
ส่วนหมวดอุตสาหกรรมที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ธนาคาร (BANK) ส่วนหมวดแฟชั่น (FASHION) เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ด้านปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าออกของเงินทุน ในขณะที่ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์การเมืองในประเทศ
ด้วยสถานการณ์ความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลก ทำให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาถูกขับเคลื่อนด้วย Fund flow มากขึ้น และด้วยอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่มีแนวโน้มลดต่ำลง ทำให้นักลงทุนมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร ส่งผลให้เม็ดเงินยิ่งไหลออกจากตลาดตราสารหนี้มายังตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้น อาจทำให้ราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหากเปรียบเทียบค่า P/E ของ SET Index ณ เดือน ก.ค. 59 สูงถึง 23.33 เท่า หรือเพิ่มขึ้น 3.37%เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และ 67.02 เท่า ในตลาด mai
ส่วนผลของประชามติหลัง 7 สิงหาคม ที่จะมีต่อเสถียรภาพการเมือง เศรษฐกิจ และการลงทุนอย่างไรนั้น นางวรวรรณ ระบุว่า “ในระยะสั้นประชามติจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่จะดีขึ้นเป็นหลัก ส่วนในระยะยาวหลังจากมีการเลือกในปีกว่าๆ ข้างหน้านั้น นัยยะต่อเศรษฐกิจและการเมืองจะขึ้นอยู่กับการที่ประชาชนรับคำถามพ่วง เนื่องจากเป็นตัวกำหนดลักษณะของรัฐบาลในระยะข้างหน้า ซึ่งเมื่อเสียงส่วนใหญ่ออกมารับทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง จะทำให้
1. คสช.มีอำนาจผ่าน ส.ว. ที่จะมีเสียงในการเลือกนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาล
2.เกิดเสถียรภาพทางการเมือง เพราะการเมืองมีความชัดเจน รู้แน่นอนว่าจะได้เลือกตั้งภายในปลายๆ ปีหน้า
3. ส.ว. สามารถผลักดันการปฏิรูปและการลงทุนภาครัฐได้อย่างต่อเนื่อง
4. แผนการปฏิรูปและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสามารถเดินหน้าไปได้ต่อเนื่อง
5.เมื่อความไม่แน่นอนทางการเมืองคลี่คลาย ความมั่นใจต่อการลงทุนจะกลับมา ก็น่าจะมีผลให้การลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวได้บ้าง
ที่ผ่านมานั้น Flow ต่างชาติที่เข้ามาในตลาดทุน เขาอิงตาม Regional flow และ Fundamental ของไทยที่ดีขึ้น มากกว่าเป็นการเข้ามาเพื่อเก็งกำไรเรื่องการเมือง แต่การรับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงจะเป็นบวกต่อ SET และอาจเห็น Fund flow เข้าไทยมากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Big cap. เพราะทำให้ Timeline การเลือกตั้งมีความชัดเจนว่าจะเกิดได้ภายในปลายปีหน้า หรือไม่เกินกลางปี 2561 ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในสายตาต่างชาติ และน่าจะส่งผลดีต่อการลงทุนจากเม็ดเงินต่างชาติที่เป็น Foreign Direct Investment ด้วย