18 พฤศจิกายน 2562 : นางสาวอรลดา เผ่าวิบูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ (รักษาการ) บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TSI Insurance เปิดเผยถึงเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2563 คาดว่าจะมีเบี้ยประกันรับประมาณ 950 ล้านบาท มุ่งเน้นงานที่มีคุณภาพ จับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ รวมถึงออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทก์ลูกค้ามากในแต่ละกลุ่ม และมุ่งเน้นพัฒนาลูกค้าองค์กรมากขึ้น การขยายช่องทางไปยังคลอสเซลล์ เพื่อขยายโอกาสการลงทุนเพิ่มมากขึ้น
นอกเหนือจากนั้น ยังเร่งพัฒนาเว็ปไซด์ของบริษัทฯ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจทางด้านการประกันภัย รวมถึงผลิตภัณฑ์ในการจำหน่าย เอื้อประโยชน์ต่อตัวแทน ลูกค้าและประชาชนทั่วไป คาดว่าจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2563 หลังจากนั้นก็จะศึกษาการขายประกันผ่าน Appreciation ควบคู่กันไป
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2562 ว่าบริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดที่ 151.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.7 จากไตรมาส 2 ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 80.6 ล้านบาท จากการเชื่อมระบบการขายและการรับส่งข้อมูลกับนายหน้าและตัวแทน ขณะที่ค่าใช้จ่ายสินไหมและค่าจัดการสินไหมสุทธิลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 33.7 อยู่ที่ 33.0 ล้านบาท
นางสาวอรลดากล่าวว่า หลังการปรับโครงสร้างการบริหารภายใต้การนำของ นายธนพล บุญวรุตม์ ประธานกรรมการ ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีควบคู่กับการพัฒนาบุคลากรให้ปรับตัวรับการแข่งขัน ในอุตสาหกรรม รวมทั้งยังวางกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัด ที่ผ่านมามีการเติบโตจากสัดส่วนร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 35 ในไตรมาส 3 ทำให้คาดว่าบริษัทฯจะสามารถทำเบี้ยประกันภัยรับได้ ประมาณ 600 ล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้ในปีนี้
สำหรับนโยบายและแผนงานในไตรมาส 4 และระยะต่อไป บริษัทฯ จะเน้นการรับงานคุณภาพ ควบคู่กับการร่วมงานแบบพันธมิตรกับนายหน้าและตัวแทนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Tailor made products) รวมทั้งการขยายการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) โดยการย้ายสำนักงานใหญ่แห่งใหม่มาที่ใจกลางธุรกิจ เป็นส่วนหนึ่งในการเตรียมการขยายช่องทาง ในการติดต่อ และให้บริการลูกค้ากลุ่ม B2B ให้มีความสะดวกเพิ่มขึ้น การพัฒนางานบริการทุกด้านพร้อมไปกับการให้บริการสินไหมทดแทนที่จะมีการพัฒนา software ให้สามารถตอบรับการรับแจ้ง และการบริการสินไหมให้มีความรวดเร็วขึ้น ซึ่งนโยบายและแผนงานดังกล่าวจะพัฒนาเพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
“ภายหลังการเพิ่มทุนจำนวน 410 ล้านบาท เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทจะนำเงินที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจตามแผนงาน โดยในส่วนการพัฒนาระบบงานหลักที่เกี่ยวกับการขายและการรับประกันคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2563 และจะพัฒนาแอปพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการบริการลูกค้าในระยะต่อไป นอกจากนี้บริษัทยังมีนโยบายขยายการลงทุนเพิ่มเติมด้วยการมองหาโอกาสการลงทุนร่วมกับพันธมิตรเพื่อขยายช่องทางรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้การลงทุนดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ คปภ.กำหนด” น.ส.อรลดากล่าว
ด้านนางสาวคณิดา นิมมาณวัฒนา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ว่า ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานของบริษัท โดยภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือน บริษัทมีเบี้ยประกันภัยรับจำนวน 310.7 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยรับเฉพาะงวด 3 เดือนมีจำนวน 151.3 ล้านบาท การจัดการค่าใช้จ่ายโดยรวมปรับปรุงดีขึ้น โดยเฉพาะการเก็บเบี้ยประกันภัยที่เร็วขึ้น และการติดตามเบี้ยค้างรับที่มีอายุเกินกว่า 1 ปี ได้มากขึ้น โดยอัตราการเก็บเบี้ยประกันตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน คปภ. ปรับปรุงจากร้อยละ 45 ในปี 2561 เป็นร้อยละ 75 ในไตรมาส 2 และร้อยละ 90 ในไตรมาส 3 ทำให้สำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่เคยบันทึกไว้ในอดีตลดลงตามไปด้วย
ส่วนค่าสินไหมและค่าใช้จ่ายในการจัดการสินไหมทดแทนสุทธิในปีปัจจุบันลดลงเช่นกัน ส่วนหนึ่งเกิดจากกรมธรรม์ที่สามารถเรียกร้องคืนจากบริษัทประกันต่อเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายรวมสำหรับงวด 3 เดือนลดลง 59.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 36 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 80 มีผลทำให้บริษัทต้องสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ (Unearned Premium Reserve : UPR) ตามหลักการบัญชีเพิ่มขึ้น โดยในไตรมาส 3บริษัทฯ
บันทึกค่าใช้จ่ายจากสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสำรองเบี้ยประกันภัยที่ยังไม่ถือเป็นรายได้จำนวนนี้จะสามารถถือเป็นรายได้ในงวดถัดๆ ไป ตามปีกรมธรรม์ ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2562 จำนวน 43.1 ล้านบาท เกิดจากค่าใช้จ่ายสำรองเบี้ยประกันที่ยังไม่ถือเป็นรายได้เพิ่มขึ้นตามที่ได้กล่าวข้างต้น การตัดจำหน่ายสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจำนวน 17.6 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายรวมที่ลดลงจำนวน 28.7 ล้านบาท ผลขาดทุนสูงขึ้นจากปี 2561 ซึ่งมีขาดทุนสุทธิจำนวน 26.3 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิสำหรับงวด 9 เดือนจำนวน 3.9 ล้านบาท ดีขึ้นจากในปี 2561 ที่ขาดทุน 50.2 ล้านบาท หรือ ขาดทุนลดลงร้อยละ 92