WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ติดต่อเรา
ลงทุนหุ้นอย่างไรให้ปัง!!

11 พฤศจิกายน 2562 : บทวิจัยและบทความหลายชิ้นอ้างอิงว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8 – 12% ต่อปี และการลงทุนในหุ้นราว 6 – 9 ปี จะทำให้เงินลงทุนเริ่มต้นเพิ่มขึ้นเป็น 1 เท่าตัว ที่ผ่านมานักวางแผนการเงินส่วนมากจะใช้ค่าสถิติประมาณนี้เป็นผลตอบแทนคาดการณ์เพื่อวางแผนลงทุน ในความเป็นจริงนักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนระดับนี้จากตลาดหุ้นไทยได้จริงหรือไม่

นายณัฐพงษ์ อภินันท์กูล สมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าว วิธีที่ง่ายที่สุดอาจเทียบดูผลตอบแทนจากการลงทุนใน LTF ซึ่งมีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นหลัก พบว่าบาง Lot ที่ถือมาครบหรือเกินกว่า 5 ปีได้ผลตอบแทนเกินเท่าตัวก็มี บาง Lot ก็ได้กำไรบ้างแต่ไม่มากนัก และบาง Lot ก็ยังขาดทุนอยู่

ถึงตอนนี้คงมีคำถามว่า Lot ที่ครบ 5 ปีแล้วแต่ยังกำไรน้อยหรือยังขาดทุน ถ้าถือรอไปให้ถึง 6 – 9 ปี ตามค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนแล้ว เงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวหรือไม่ คำถามนี้ตอบยาก เพราะคำตอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตอนซื้อ ซื้อถูกหรือซื้อแพงเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับว่าตอนจะขายตลาดเป็นอย่างไร

ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยผลตอบแทน 8 – 12% ต่อปีนั้นเป็นค่าเฉลี่ยในระยะยาว ทว่าผลตอบแทนเฉลี่ยที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงจะแตกต่างกันไป เป็นช่วงๆ โดยคำนวณจากดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบวกเงินปันผลตั้งแต่ปี 2539 – 2561

โดยค่าสถิติในอดีตแสดงถึงความผันผวนของตลาดหุ้นไทยที่ซื้อแล้วถือลงทุนมาเป็นเวลา 10 ปี จะได้รับผลตอบแทนในช่วงตั้งแต่ -3.24% ถึง +18.63% ต่อปี หากไปดูที่ดัชนีตอนต้นงวด และตอนปลายงวด พบว่าการได้รับผลตอบแทนที่ดีนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการซื้อในราคาถูกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องลุ้นด้วยว่าตอนขายราคาจะเป็นอย่างไร

หากจะพิจารณาว่าช่วงของการซื้อขาย (ต้นปีที่ 1 และสิ้นปีที่ 10) นั้นเป็นอย่างไร โดยดูจากความถูกความแพงของราคาหุ้นในตลาด ที่พิจารณาจากค่า P/E Ratio และสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2540 – 2549 ที่ตอนเข้าซื้อดัชนีไม่ได้มีความแพงนัก P/E Ratio ประมาณ 12 เท่า แต่เมื่อครบ 10 ปี ตลาดกลับมีราคาถูกลงโดยเปรียบเทียบ P/E Ratio เหลือ 8 เท่า ในช่วง 10 ปีนั้น ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 0.61% ต่อปี หรือในช่วงปี 2542 – 2551 ก็มีลักษณะการปรับตัวของตลาดใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาค่า P/E Ratio ของตลาดหุ้นไทยทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของการลงทุนรอบ 10 ปีมีระดับใกล้เคียงและสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งหมด

ดังนั้น DCA ช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนได้ ซึ่งความไม่แน่นอนของการคาดการณ์ผลตอบแทนที่ได้รับ ย่อมส่งผลกระทบต่อสมมติฐานผลตอบแทนที่ใช้ในการวางแผนการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเป้าหมายสำคัญที่ไม่ต้องการให้การคาดการณ์ด้านตัวเลขเป้าหมายผิดพลาดมากนัก

วิธีหนึ่งที่ช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทน คือ การซื้อแบบถัวเฉลี่ย (Dollar Cost Averaging – DCA) กลยุทธ์ DCA เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างวินัยการลงทุนอย่างยอดเยี่ยม นอกจากนี้ ยังช่วยให้ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่แตกต่างกันมากนักในแต่ละช่วง เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนเพียงครั้งเดียว พบว่าค่าความเสี่ยง (ความผันผวน) ของผลตอบแทน (Standard Deviation) ของการลงทุนครั้งเดียวอยู่ที่ประมาณ 6.43% ต่อปี และมีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนอยู่ที่ 10.53% ต่อปี ในขณะที่การลงทุนแบบ DCA มีค่าความเสี่ยงต่ำกว่ากันครึ่งหนึ่งหรือเพียง 3.48% ต่อปี และมีค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนสูงกว่าที่ 12.68% ต่อปี (คำนวณจากผลตอบแทนช่วง 10 ปี ของการลงทุนปี 2539 – 2561)

ทั้งนี้ แม้ว่าการเปรียบเทียบกันตรงๆ แบบนี้จะไม่ค่อยถูกต้องนัก เนื่องจากมีเรื่องของระยะเวลาของเงินก้อนหลังๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ก็พอจะบอกได้ว่าการลงทุนแบบ DCA ในหุ้นสามารถกำหนดผลตอบแทนคาดหวังให้อยู่ในกรอบของค่าเฉลี่ยมากกว่าการลงทุนครั้งเดียว และรับความผันผวนน้อยกว่าการลงทุนเพียงครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม การนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA มาใช้ในแผนการลงทุนก็ยังมีข้อควรระวังเพิ่มเติม คือ หากว่าตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในช่วงปีท้ายๆ เมื่อใกล้จะถึงเป้าหมายผลตอบแทนรวมที่ได้รับก็อาจจะมีระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวม และอาจต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของการลงทุนเพียงครั้งเดียว ดังเช่นที่เกิดในช่วงปี 2542 – 2551 และปี 2552 – 2561 ความเสี่ยงในลักษณะนี้เรียกว่า ความเสี่ยงจากลำดับผลตอบแทน (Sequence of return risk)

ความเสี่ยงของลำดับผลตอบแทน จะส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนเมื่อมีการเข้าลงทุนเพิ่มอย่างสม่ำเสมอ (เช่น กรณี DCA) หรือมีการทยอยถอนเงินออก เช่น การถอนเงินออกจากพอร์ตการลงทุนในช่วงเกษียณอายุ ผลกระทบจากการใส่เงินเพิ่มหรือถอนเงินออกอาจส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่คาดไว้ หากว่าตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในปีสุดท้ายที่ต้องการใช้เงิน

ตัวอย่างผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วง 7 ปีที่ผ่านมา (2555 – 2561) มีผลตอบแทนเฉลี่ย 6.22% ต่อปี สำหรับการลงทุนครั้งเดียว ไม่ว่าลำดับของผลตอบแทนที่เกิดขึ้นในแต่ละปีจะเป็นอย่างไร ก็ยังคงได้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับ 6.22% ต่อปี และเมื่อครบกำหนดมูลค่าเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 100 บาทจะเพิ่มขึ้นเป็น 152.52 บาท ไม่ว่าจะสลับปีของผลตอบแทนเป็นอย่างไร

ในขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนแบบ DCA ทุกต้นปี จะพบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยที่ได้นั้นจะลดลงเหลือ 3.39% ต่อปี และยิ่งหากเป็นการถอนเงินขาเดียวไม่มีการใส่เงินเพิ่มแบบเป้าหมายการเกษียณด้วยแล้ว ความเสี่ยงของลำดับผลตอบแทนที่เกิดขึ้นอาจส่งผลร้ายแรงให้มีเงินไม่พอใช้ในช่วงหลังๆ เลยทีเดียว โดยลองเปรียบเทียบการเริ่มถอนเงินในช่วงปีที่ติดลบ กับการเริ่มถอนในปีที่เป็นบวก จะพอประเมินได้ว่าการถอนในปีที่ติดลบจะยิ่งซ้ำเติมให้มูลค่าของพอร์ตการลงทุนปรับตัวลดลงไปอีก จนเหลือเงินลงทุน ณ สิ้นปีรอการฟื้นตัวของตลาดน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

ท้ายที่สุดอาจส่งผลให้มีเงินไม่พอสำหรับการเกษียณหากว่าตลาดปรับตัวอย่างย่ำแย่ติดกันหลายปีในช่วงเริ่มต้นของการเกษียณอายุ แม้ว่าในตอนเริ่มต้นเกษียณจะได้เตรียมเงินตามที่คำนวณมาแล้ว (เพราะการคำนวณเป็นการ discount ผลตอบแทนด้วยค่าเฉลี่ยแบบคงที่) ในทางกลับกันแน่นอนว่าหากตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงเริ่มต้นถอนเงินก็จะส่งผลดีต่อแผนการใช้เงินในช่วงเกษียณอายุ

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP