9 กันยายน 2562 : The Nose คือใคร…สำหรับวงการน้ำหอมระดับโลกแล้ว พวกเขามีความสำคัญอย่างยิ่งและเป็นผู้กุมหัวใจขององค์กรผู้ผลิตน้ำหอมเลยก็ว่าได้ เดอะ โน้ส เปรียบเสมือน “Perfume Leader” เพราะมีหน้าที่หลักในการกำหนดบรีฟโครงสร้างความหอม (Olfactory Brief) เพื่อเป็นแนวทางให้ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงแต่งน้ำหอมหรือมาสเตอร์เพอร์ฟูมเมอร์ (Master Perfumer) สำหรับนำไปออกแบบกลิ่นน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ของ เมซอง แบร์เช่ ปารีส ต่อไป
แต่ก่อนที่ The Nose จะสามารถกำหนดกลิ่นใหม่ได้อย่างแม่นยำตามคาแรกเตอร์ทั้ง 6 กลุ่ม อันเป็นเอกลักษณ์ของเมซอง แบร์เช่ ปารีส ได้แก่ FLORAL กลิ่นหอมจากดอกไม้ให้ความหอมหวานโรแมนติกตราตรึงใจ FRUITY สกัดจากผลไม้และพืชพรรณธรรมชาติให้ความสดชื่นมีชีวิตชีวา FRESH กลิ่นหอมจากพืชใบเขียว และผลไม้กลุ่มซิตรัสที่ให้ความสดชื่นสุดพลัง SWEET กลิ่นหอมจากวานิลลา และเปลือกไม้ต่างๆ ที่ให้ความรู้สึกหอมหวานอบอุ่น ORIENTAL ช่วยสร้างความสงบทั้งกายและใจจากผงอำพัน เปลือกไม้ เครื่องเทศ และ PURE กลิ่นหอมของดอกไม้ พืชใบเขียว และวูดดี้โน้ต เพื่อความหอมที่สะอาดบริสุทธิ์นั้น พวกเขาต้องศึกษาเทรนด์กลิ่นหอมก่อนว่า ในแต่ละปีกลิ่นและส่วนผสมใดกำลังอยู่ในกระแส เพื่อนำไปคัดเลือกกลิ่นที่น่าสนใจและเหมาะสมที่จะนำมาผลิตเป็นน้ำหอมสำหรับบ้าน ขณะเดียวกันก็ต้องใช้แรงบันดาลใจส่วนตัวของตัวของ เดอะ โน้ส เองด้วย ทั้งจากประสบการณ์หรือการเดินทางท่องเที่ยวในโลกกว้าง ซึ่งเป็นหนทางที่ทำให้พวกเขาตระหนักรู้ความต้องการของลูกค้าทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
หนึ่งในเดอะ โน้ส คนสำคัญของเมซอง แบร์เช่ ปารีส Mrs. Aude Mas Vincenti ผู้จัดการด้านน้ำหอม (Fragrance Manager) เธอมีความโดดเด่นด้วยคุณสมบัติติดตัวมาแต่กำเนิด โดยเฉพาะประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นที่พิเศษจึงสามารถใช้ประสาทสัมผัสทางจมูกในการรับ วิเคราะห์ และแยกแยะกลิ่นต่างๆ ได้ดีกว่าคนทั่วไป ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังได้รับการเรียนรู้ และฝึกฝนเพิ่มเติมทักษะเพื่อนำมาใช้ในวิชาชีพและปรุงแต่งกลิ่นน้ำหอมให้สูงขึ้นไป โดยเลือกที่จะศึกษาต่อในระดับปริญญาโท จากสถาบันการสอนด้านน้ำหอมและเครื่องสำอาง ISIPCA ประเทศฝรั่งเศส และมีประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการน้ำหอมและเครื่องสำอางมามากมาย ตลอดจนเคยร่วมงานกับแบรนด์ดังของฝรั่งเศสมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ROCHAS PAYOT และ GUERLAIN จนกระทั่งเข้ามาเป็นกำลังสำคัญของ Maison Berger Paris ตั้งแต่ปี 2007 จนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ความน่าสนใจของ เดอะ โน้ส ไม่ใช่เพียงบทบาทดีไซเนอร์หรือนักออกแบบกลิ่นเท่านั้น แต่พวกเขายังเป็น “ผู้คุมกฎ” อีกด้วย หลังจากทีมมาสเตอร์เพอร์ฟูมเมอร์รับบรีฟจากเดอะ โน้ส แล้ว ก็จะนำบรีฟดังกล่าวไปสร้างสรรค์น้ำหอมเพื่อกลับมานำเสนออีกครั้ง จากนั้น The Nose จะใช้วิธีการคัดเลือกความหอมที่ “ใช่” อย่างเป็นกลางด้วยวิธี Blind Test และ Panel Qualitative Test พร้อมทำการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน จนได้น้ำหอมที่ถูกต้องตามบรีฟมากที่สุดเพื่อนำไปสู่การผลิตน้ำหอมในห้องปฏิบัติการตามขั้นตอนต่อไป
และด้วยเหตุผลที่ เดอะ โน้ส ต้องผ่านการทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อเนรมิตกลิ่นใหม่ๆ ออกมา ต้องคิดแล้วใคร่ครวญอีก คัดเลือกแล้วคัดกรองอีก ดังนั้นจะมา “ตกม้าตาย” เพราะละเลยการตรวจสอบคุณภาพไม่ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่ง เมซอง แบร์เช่ ปารีส จะนำน้ำหอมที่ผ่านกระบวนการผลิตในห้องปฏิบัติการแล้วนำมาทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่าการกระจายกลิ่นหอมของน้ำหอม Maison Berger Paris มีแต่ความหอมบริสุทธิ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพอย่างแท้จริง
โดยจะมีการทดสอบประสิทธิภาพอย่างละเอียดใช้เวลานานกว่า 2 เดือน ทั้งด้านการปล่อยควัน (Smoke Test) ต้องไม่ก่อให้เกิดควันทุกรูปแบบระหว่างการใช้งาน ด้านประสิทธิภาพความหอม (Long-lasting test) ต้องทดสอบซ้ำหลายครั้งจนแน่ใจได้ว่าให้ความหอมที่คงทนและยาวนาน และด้านการปล่อยมลพิษ (Emission Test) เพื่อเป็นการรับประกันว่าต้องไม่มีสารที่เป็นพิษ อาทิ BTEX ซึ่งประกอบด้วยสารเบนซีน โทลูอีน เอทธิลเบนซีน และไซลีน รวมทั้งสารฟอร์มาลีน ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ใช้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ The Nose จะเป็นกลไกหลักที่ทำให้แบรนด์น้ำหอมระดับโลกสามารถรังสรรค์กลิ่นหอมใหม่ตรงใจมากกว่า 10 กลิ่นในแต่ละปีแล้ว ก็ต้องยอมรับว่ายังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญเพื่อให้ได้กลิ่นที่สมปรารถนา นั่นคือ กระบวนการในการผลิตน้ำหอมสำหรับบ้านที่พิถีพิถันและมีมาตรฐานสูง ซึ่ง เมซอง แบร์เช่ ปารีส ให้ความสำคัญและพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การศึกษาตลาด การทดสอบในห้องปฏิบัติการ การผลิตโดยโรงงานที่มีการควบคุมมาตรฐาน และทดสอบคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญก่อนส่งถึงมือผู้บริโภค โดยทั้งหมดใช้ระยะเวลาในการออกกลิ่นใหม่ยาวนานถึง 10 เดือนเลยทีเดียว