4 กันยายน 2562 : หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไม ไม่รวย อย่างที่หวัง ทั้ง ๆ ที่ทำงานมานานได้เงินเดือนก็มาก แต่ก็ยังมีเงินเหลือเก็บไม่มาก ใช้เงินเดือนชนเดือน แถมยังมีหนี้บัตรเครดิตที่ค้างชำระสะสมโดนคิดดอกเบี้ย จ่ายค่าบัตรเครดิตก็ทำได้แต่จ่ายขั้นต่ำไปก่อน และประชาชนส่วนใหญ่มักจะเจอเหตุการณ์แบบนี้วนไปเรื่อยๆ ซึ่งหลายต่อหลายคนก็ประสบมาแล้ว…
ลองหันหลังกลับมามองกันสักนิดว่า….อะไรทำให้มนุษย์เงินเดือน เจอแต่ปัญหาวนแบบนี้ไม่รู้จบ และแน่นอนว่า ปัญหาที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีวันรวย คือ การใช้จ่ายเกินตัว วางแผนการเงินไม่เป็น ผลัดวันประกันพรุ่งในการออมเงิน มนุษย์สังคมเฮฮาตามงานปาตี้ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม บางทีปัญหาเหล่านี้จะลดลงไปได้ ถ้าคนเรามีความระมัดระวังการใช้จ่ายที่ดีกว่านี้ ไม่ใช้จ่ายตามอารมณ์ และความอยากได้อยากมีมากเกินไป จนกลายเป็นความฟุ้งเฟ้อหรือสุรุ่ยสุร่าย
ความที่เป็นคนมือเติบจะทำให้เก็บเงินไม่อยู่ ใช้เงินเพื่อความสุขไปในแต่ละวันแต่ละสัปดาห์ ขาดการมองถึงอนาคตและไม่รู้จักการบริหารรายได้ที่ได้มา
ในชีวิตคนเรามีรายจ่ายด้านใดบ้างที่เข้าข่ายว่าเป็นความฟุ้งเฟ้อ โดยทางศูนย์คุ้มครองผู้บริโภคทางการเงิน ได้ให้ข้อคิดดีๆ ไว้เพื่อเตือนใจ ก่อนเข้าสู่กับดักทางการเงินไม่รู้ตัว
1. วิ่งตามกระแส ยิ่งวิ่งยิ่งแย่ เพราะตามไม่ทัน
2.มีน้อยใช้มาก อยากได้อยากมี ถึงเป็นหนี้ก็ยอม
3.เล่นหวยและการพนัน โอกาสเล่นมันง่าย แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
4.ละเลยการออม ใช้ก่อนออมทีหลัง
ทั้งนี้ หากเจาะลึกลงไป กับการใช้ชีวิตประจำวันของคนติดกับดักทางการเงิน พบว่า มีหลายปัจจัยด้วยกันคือ
1. อาหารนอกบ้าน กาแฟ ขนม การที่คนเราทานอาหารนอกบ้านนั้นสามารถทำได้ตามกำลังฐานะ แต่ก็หมายถึงงบประมาณที่ต้องจ่ายมากเกินจำเป็นเช่นกัน เพราะว่าอาหารนอกบ้านนั้นจะมีราคาแพงกว่าการทำอาหารเองเสมอ โดยความจำเป็นของการทำงาน คนส่วนใหญ่ต้องทานอาหารกลางวันที่ทำงานอยู่แล้ว แต่เมื่อตกเย็นก็อยากจะไปหาอะไรอร่อยๆ กิน หลังจากที่ทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน หลายคนจึงติดนิสัยการกินอาหารนอกบ้าน ซึ่งไม่ต่ำว่า 100 บาทแน่นอนในแต่ละมื้อ เฉลี่ยราว ๆ 200-300 บาท อยู่ที่ระดับราคาของร้านค้า ยิ่งเป็นร้านในห้างสรรพสินค้าก็ยิ่งแพง
นอกจากนี้ คนเรายังดื่มกาแฟสด กาแฟในร้านกาแฟ รวมถึงขนมต่างๆ ที่มีราคาแพง สิ่งต่างๆ เหล่านี้แม้จะดูเป็นราคาที่ไม่มากในแต่ละวัน แต่เมื่อรวมกันทั้งเดือน หลายคนที่จดรายการไว้อาจจะต้องตกใจทีเดียว
2. เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เรื่องความสวยงาม คนเรามักจะลืมคิดถึงฐานะทางการเงินตนเองเสมอ เมื่อเงินเดือนออกก็อยากจะซื้อชุดเสื้อผ้าใหม่หลายๆ ชุด รวมถึงเครื่องแต่งกายอื่น ๆ เช่น รองเท้า กระเป๋า และหลาย ๆ ครั้งก็มักจะติดกับดักเรื่องสงครามการลดราคาที่จัดมาเพื่อดูดเงินนักช้อป ทำให้ซื้อเสื้อผ้าที่เกินจำเป็นต้องใช้ หลายคนซื้อเสื้อผ้ามาแล้วอาจจะไม่ได้ใส่ชุดนั้นเลยก็เป็นได้ เพราะตอนซื้อเพียงเพราะเห็นว่าลดราคา แต่ไม่ได้พิจารณาจริงจังว่าจะเอามาใส่ได้ไหม เหมาะกับชุดที่มีอยู่แล้วหรือไม่ บางคนแม้ว่าจะนิยมเสื้อผ้าราคาไม่แพง แต่ว่าเลิกงานแล้วก็ชอบเดินดูแล้วก็อดใจซื้อไม่ได้ เมื่อซื้อบ่อยๆ หลายครั้งก็รวมกันแล้วมีค่าใช้จ่ายมากในแต่ละเดือน
3. เครื่องประดับ เครื่องประดับทั้งสร้อยคอ แหวน นาฬิกา เป็นของที่มีราคาแพง ถ้ามีเรื่องของอัญมณีแท้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้วก็จะยิ่งแพงมากขึ้น การซื้อเครื่องประดับเหล่านี้เรียกได้ว่าควรจะมีเงินเก็บส่วนที่เหลือใช้จริง ๆ เพราะว่าเป็นการตกแต่งประดับร่างกายเพื่อความสวยงามมากกว่าประโยชน์ใช้สอย หลายคนอยากซื้อนาฬิการะดับสวยหรูเพื่อให้เท่าเทียมเพื่อนร่วมงานจนต้องรูดบัตรเครดิตซื้อไปก่อนก็มี ซึ่งโดยแท้จริงแล้วถือว่าเป็นการใช้จ่ายเกินฐานะตนเอง ไม่รวมไปถึงแหวน ต่างหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือต่าง ๆ การใช้เงินไปกับสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เงินหมดไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะแต่ละชิ้นราคาเป็นหลักหมื่นถึงแสนบาทได้ ควรจะเลือกชิ้นที่ชอบจริง ๆ และคำนวณว่าไม่กระทบแผนการใช้เงินจะดีกว่า บางทีการรวมเงินไว้ก่อนเพื่อซื้อของดีมากชิ้นเดียวดีกว่าซื้อของราคากลาง ๆ คุณภาพด้อยกว่าหลายครั้ง แล้วคุณจะมีความภูมิใจในเครื่องประดับชิ้นนั้นมากกว่าถ้าได้ซื้อด้วยเงินสดแทนการซื้อแบบผ่อนชำระด้วยบัตรเครดิต
4. เครื่องสำอาง ความงามของใบหน้าและผิวเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างบุคลิกของคนเราได้ เครื่องสำอางจึงเป็นตลาดที่เติบโตอย่างมาก โดยมีผลิตภัณฑ์หลายประเภทออกมาให้เลือกใช้ และคนเราก็ชอบทดลองของใหม่ ๆ ด้วย เพื่อต่อต้านริ้วรอยชะลอความแก่ชรา แม้ครีมประปุกละหลายพันถึงหมื่นบาทก็ยอมซื้อ ทั้งที่แท้จริงแล้วตามหลักสามัญสำนึก ไม่มีครีมที่ชะลอความแก่ได้เลย เครื่องสำอางและเครื่องประทินผิวจึงเป็นการใช้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากกว่า การซื้อเครื่องสำอางจึงควรซื้อใช้แบบพอเพียงและจำเป็น ไม่หลงเห่อตามกระแสหรือการโฆษณาสรรพคุณที่เกินจริง
5. รถยนต์ ลำพังรถยนต์ที่ซื้อจากศูนย์นั้นไม่ได้ถือเป็นความฟุ้งเฟ้อ เว้นแต่ซื้อรถที่แพงเกินความสามารถในการผ่อนชำระและเกินความต้องการใช้งาน แต่การตกแต่งรถต่างหากที่จะทำให้เงินของคุณหมดไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะอยากปรับแต่งรถให้ไม่เหมือนใคร ทั้งด้านประสิทธิภาพ ความสวยงาม เมื่อซื้อรถใหม่แล้วก็ต้องมีเงินค่าบำรุงรักษาเผื่อไว้ในอนาคตด้วย
ทั้งค่าภาษีและประกันภัยรถยนต์ หลายคนนิยมตกแต่งเพิ่มอีกหลายอย่าง เช่น โคมไฟ ล้อแม็กซ์ แร็คหลังคา โช้คอัพ เบาะหนังใหม่ และซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์อีกหลายอย่าง แล้วก็จะพบว่าบางทีไม่ได้ใช้อุปกรณ์นั้นเลย เช่น อุปกรณ์เคลือบขัดสีรถที่น้อยคนมากที่จะได้ใช้เอง เพราะเวลาในชีวิตส่วนใหญ่ก็มักหมดไปกับการทำงานประจำอยู่แล้ว เมื่อซื้อรถใหม่แล้วอย่าเพิ่งคิดซื้อสิ่งใดเพิ่มเติมอีกก็จะช่วยให้มีเงินเหลือมากขึ้นได้
6. อุปกรณ์ไอที IT Gadget รวมถึงสมาร์ทโฟนรุ่นต่าง ๆ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ดูดเงินคนที่นิยมความแปลกใหม่ของเทคโนโลยี หลายคนชอบเปลี่ยนชอบลองรุ่นใหม่ ๆ ซึ่งก็มีข้อดีตรงที่ดูเป็นคนทันเทคโนโลยี แต่ว่าก็ต้องจ่ายเพิ่มส่วนต่างสำหรับรุ่นใหม่เสมอ หรือการซื้ออุปกรณ์เสริมต่าง ๆ สมาร์ทวอช สมาร์ทดีไวซ์ อุปกรณ์ IT ที่ออกมาใหม่ ๆ มักจะมีราคาแพงในช่วงแรกอยู่แล้ว ถ้าใครที่อยากล้ำนำเทรนด์ก็หมายถึงต้องจ่ายเงินล้ำหน้าคนอื่นด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับคนที่รอได้ ให้ราคาลงมาสักหน่อยก่อนแล้วค่อยซื้อก็จะทำให้ประหยัดเงินได้มากกว่า อุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ควรจะซื้อเท่าที่จำเป็นกับการใช้งานในชีวิตประจำวันจึงจะคุ้มค่า ถ้าไม่ตามกระแสแฟชั่นมากเกินไปก็จะช่วยประหยัดเงินส่วนนี้ไปได้
7. งานอดิเรก งานอดิเรกของคนเราเป็นสิ่งที่ดึงดูดเงินออกไปได้ง่ายมาก จริงอยู่ที่คนเราทำเพื่อความสุขของตนเอง แต่ด้วยความสุขนี้เองที่เป็นตัวที่ทำให้คนเราสามารถใช้เงินได้ไม่จำกัด ทุ่มไม่อั้นเพื่อให้ได้ของที่ต้องการ เช่น ของสะสมที่หายากมีราคาแพง หรือการซื้อเครื่องดนตรี จักรยาน การสะสมเหรียญ แสตมป์ โมเดล แม้แต่พระเครื่องก็ตาม
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นความสุขทางใจ แนะนำว่าควรใช้เท่าที่จัดงบประมาณไว้จะดีที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบเงินส่วนอื่น ๆ ที่วางแผนไว้ สิ่งที่ต้องระวังคือความอยากได้เนื่องจากของนั้นอาจจะเป็นของชิ้นเดียวหรือหาไม่ได้อีกแล้ว ทำให้คนเราใช้เวลาตัดสินใจน้อยเกินไปและไม่ระวังการใช้จ่ายเงิน ดังนั้น งานอดิเรกควรเน้นหลักความพอเพียงเช่นกัน ไม่ทุ่มงบประมาณเพื่อความสุขมากเกินไป
การใช้เงินอย่างฉลาดโดยระมัดระวังค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ ก็จะทำให้สามารถดูแลการเงินได้ดีกว่าเดิม รู้ว่าเงินควรจะถูกใช้ไปอย่างไร ช่องทางไหนเป็นทางที่ต้องระวังไม่ให้เป็นการใช้เงินที่ฟุ้งเฟ้อ เพราะความต้องการของมนุษย์เราไม่มีที่สิ้นสุด ได้อย่างหนึ่งแล้วก็มักอยากได้อีกอย่างหนึ่งตามมา การมีสติและคิดให้รอบคอบก่อนใช้เงินออกไปจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำมากที่สุด