WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันอาทิตย์ ที่ 22 ธันวาคม 2567 ติดต่อเรา
เซียนหุ้นมองทะลุหุ้นไทย!!!

ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรก หลังสภาพัฒน์ ได้ประกาศตัวเลขจีดีพีปีนี้โตในกรอบที่3-3.5% รับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/59ที่ขยายตัวดี 3.2% ซึ่งเป็นการเร่งขึ้นจากไตรมาส 4/58ที่ 2.8% นับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 3 ปีพร้อมกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ที่รัฐบาลต่างคิดค้นกลยุทธ์ในการผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าบางโปรเจกต์อาจจะไม่ค่อยหวือหวามากนัก

แต่รัฐบาลก็ไม่เคยย่อท้อในการหาของมานำเสนอให้กับภาคเศรษฐกิจตลอดเวลา ข่าวดีดังกล่าวเป็นผลมาจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การใช้จ่ายภาคครัวเรือน รวมทั้งการส่งออกบริการท่องเที่ยวขยายตัวสูงขึ้น ขณะที่การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 52,257 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1.4% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ0.5% และบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 585,606 ล้านบาท หรือคิดเป็น16.6% ของจีดีพี

แต่หากมองในอีกมุ่งหนึ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญการลงทุนตลาดหุ้นไทยต่อปัจจัยบวกเหล่านี้ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนพันล้านบาท มองประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ โดยระบุว่า “เป็นข่าวดีระยะสั้นมากกว่า แม้ว่าทางสภาพัฒน์ฯมองจดีพีปีนี้โต 3.3% ก็ตาม เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นับว่ายังอยู่ในระดับต่ำ เพราะประเทศเหล่านั้นอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจแบบค่อนข้างเลวร้ายก็ยังอยู่ในระดับที่สูง 5-6% ซึ่งสูงกว่าของไทยมาก และหากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว แม้ว่าประเทศดังกล่าวมีอัตราการเติบโตที่ 2% ต่ำกว่าประเทศไทย แต่ก็นับว่าจีดีพีระดับที่ 2% ดียังกว่าของจีดีพีไทยที่ 3%”

Nives_hem

นอกจากนี้ “ดร.นิเวศน์” ได้มองภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ไว้อย่างน่าสนใจทีเดียว จากภาพข่าวดีที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ว่า ด้วยภาพแวดล้อมที่ดีแต่เป็นดีในแบบฉบับ “ลูกผีลูกคน” มากกว่า เพราะยังมีปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามากระทบต่อเนื่อง ปัจจัยลบดังกล่าวคือตัวการหลักที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ไม่ถึงที่สุด อย่างปัจจัยภายในประเทศ แม้ว่าจะมีโครงการจากภาครัฐบาลออกมาให้ได้ดีใจต่อเนื่องแบบหวือหวา แต่โครงการต่างๆที่ออกมานั้น จะเห็นเป็นรูปธรรมและเดินหน้าเต็มสรุปได้ในช่วงปี 60 เป็นหลัก

ส่วนปีนี้เห็นเพาะโครงการเล็กๆบางโครงการเท่านั้น ซึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจไทยไม่ได้เต็มที นอกจากนี้ ยังมีปัญหาภัยแล้งที่ถาดถมเข้ามากลายเป็นตัวแปรสำคัญของการชะลอการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้สอดคล้องกับพื้นฐานที่เป็นอยู่ ดังนั้น อย่าพึ่งไว้ใจกับสิ่งที่กล่าวขานกันอยู่ในขณะนี้ ส่วนภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทยก็เช่นกัน แม้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนมากถึง 10% แต่ช่วงเดือนที่เหลือจากนี้ไป มองว่า เป็นเรื่องยากมากที่จะกลับไปเป็นแบบนั้นอีก โดยมุมมองส่วนตัว เชื่อว่า ระดับที่ 4-5%นับว่าดีแล้ว

“ไม่ใช่แค่มองแค่ภาพเศรษฐกิจไทยจะดีอย่างเดียว ในส่วนของตลาดหุ้นไทยต้องดูหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามาประกอบโดยเฉพาะเรื่องของการทำผลกำไรของธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.)นักลงทุนต้องดูให้ลึก ดูว่าการทำกำไรของธุรกิจบจ.ในอนาคตมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างที่มองกันหรือไม่ เพราะธุรกิจบจ.คือตัวพื้นฐานตัวจริงของภาตลาดหุ้นไทย” ดร.นิเวศน์ กล่าว

สำหรับภาพการทำกำไรของธุรกิจบจ.ในปีนี้ยังมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง อย่างธุรกิจธนาคารพาณิชย์เจอปัจจัยลบอย่างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่ยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ และการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียดังกล่าวธนาคารต่างๆจำเป็นต้องมีการตั้งสำรองหนี้เสียต่อเนื่องเช่นกัน

นอกจากนี้ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นไม่จริงทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆจำเป็นต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ นับตั้งแต่ต้นปีมา ธนาคารพาณิชย์พากันลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไปแล้ว 2 รอบด้วยกัน หากสภาพเศรษฐกิจไทยยังไม่ดีขึ้นอัก โอกาสที่จะเห็นธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีอีกครั้ง ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า NIM ของธนาคารได้รับผลกระทบแลระส่งไปถึงตัวกำไรของธนาคารด้วย

ส่วนธุรกิจสื่อสารหลังจากเจอมรสุมบางประการเข้ามากระทบแผนการดำเนินงาน ทำให้กำไรของกลุ่มสื่อสารมีแนวโน้มเปลี่ยนไปในทิศทางที่ลดลง ส่วนธุรกิจพลังงาน แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะสินค้าโภคภัณฑ์กลับมาดีขึ้น แต่แนวโน้มราคาพลังงานก็ยังอยู่ในระดับต่ำได้ในช่วงปลายปีนี้จำเป็นต้องจับตามอง นอกจากนี้ PE หุ้นไทยอยู่ในระดับที่แพงมากที่ 20เท่า

ดังนั้น หากหวังว่าเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาอาจจะเป็นไปได้สักหน่อย ที่เห็นเม็ดเงินดังกล่าวไหลกลับเข้ามาในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นแค่การไหลกลับมาแบบเศษๆหรือแบบพ่วงเข้ามาเท่านั้น เพราะตลาดหุ้นไทยนอกจาก PE สูงแล้วยังไม่มีปัจจัยบวกใดเข้ามาช่วยดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาได้แม้แต่นิดเดียว อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยลบดังกล่าวที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่ผลตอบแทนจากการลงทุนจะโตโดดเด่นเหมือนช่วงที่ผ่านมา

ส่วนทิศทางการลงทุนของนักลงทุน แนะว่า ควรระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลงทุนไม่ได้เลย หุ้นไทยบางกลุ่มก็ยังอยู่ในลักษณะพอลงทุนได้ โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีปันผลดีเป็นหลัก เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ประกอบกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีปันผลดีเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 3-4% ผลตอบแทนดังกล่าวก็ยังดีกกว่าการฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์ที่ได้ผลตอบแทนที่ต่ำมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่ให้ปันผลดี ยังคงเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มพลังงาน

ข้ามมาฟังความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญการลงทุนของบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ต่อตลาดหุ้นไทยกันดูบ้าง “หุ้นไทยช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ ไม่ง่ายอย่างที่คิด” นี่เป็นประโยคที่น่าสนใจที่สุดประโยคหนึ่งของ ผู้จัดการกองทุนหนุ่มไฟแรงจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด “สมิทธ์ พนมยงค์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้แชร์ความรู้ด้านการลงทุนให้เหล่านักลงทุนได้อย่างน่าสนใจว่า ตลาดหุ้นไทยในปีนี้ไม่เหมือนช่วงหลายปีที่ผ่านมา การรับมือของผู้ลงทุนก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นๆมากที่สุด

20130918150119-contents1-27
แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาตัวเลขจีดีพีและตัวเลขการส่งออกจะออกมาดีขึ้น แต่ก็ยังมีแรงกดดันในเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง เรื่องของภัยแล้งที่ปีนี้ดูแย่กว่าช่วงปีที่ผ่านมา ด้านธุรกิจขนาดใหญ่อย่างธนาคารพาณิชย์ต่างๆก็ยังมีแรงกดดันจากเรื่องของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เข้ามากระทบ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีลักษณะทรงๆตัวอยู่แบบนี้ต่อไป การลงทุนจึงบต้องลงทุนแบบระมัดระวังมากขึ้น

กรณีของบลจ.ไทยพาณิชย์เองก็ได้ปรับแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องในแต่ละช่วงปี และในปีนี้เองฝ่ายลงทุนได้มีความคิดเห็นเดียวกันว่า จะรับมือความผันผวนของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ได้ จะต้องเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบเทรดดิ้ง “ขึ้นขาย ลงซื้อ” ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนดังกล่าวบริษัทได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะใช้แผนการลงทุนรับมือความผันผวนดังกล่าวที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ต่อไป เพราะเชื่อมั่นการกลยุทธ์การลงทุนดังกล่าว ที่ผ่านมาจะเห็นว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในกองทุนหุ้นไทยของบริษัท ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง

“บริษัทได้มีการปรับกลยุทย์การลงทุนลง โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่เป็นแล็คกาดมากขึ้น อย่างหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มเฮลแคร์ ฯลฯ พร้อมหาจังหวะขายทำกำไรในหลักทรัพย์ที่ถือครองในมือปรับตัวขึ้น และเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้น ก็หันมาถือเงินสดมากขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (ฟันด์โฟล์) ปีนี้ มองว่า ส่วนใหญ่จะเข้าลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน

ส่วนตลาดหุ้นไทยหุ้นกลุ่มบิ๊กแคปยังคงได้รับอานิสงค์จากฟันด์โฟล์ไหลเข้า และยังคงเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มธนาคารที่ได้รับอานิสงค์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะถูกขายออกไปมาหกในช่วงที่ผ่านมา แต่ในระยะต่อไปการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนก็ยังคงไหลเข้าหุ้นกลุ่มดังกล่าวต่อเนื่อง แม้ว่าหุ้นกลุ่มบิ๊กแคปจะได้อานิสงค์จากฟันด์โฟล์แต่นักลงทุนรายย่อยก็ไม่ควรตาม เพราะดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปมากแล้ว” นายสมิทธ์ กล่าว

ส่วนทิศทางตลาดตราสารหนี้ไทยในปีนี้ ยอมรับว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลระยะ 10 ปี รวมถึงหุ้นกู้เอกชนอยู่ในระดับต่ำ นักลงทุนทีเน้นลงทุนดังกล่าวควรที่ต้องกระจายความเสี่ยงออกไปบ้าง โดยหันไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศมากขึ้น เพราะผลตอบแทนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าของตราสารหนี้ไทยค่อนข้างมาก ด้านบริษัทได้มีการปรับแผนการลงทุนดังกล่าวเช่นกัน

โดยปีนี้บริษัทจะเน้นออกผลิตภัณฑ์ประเภทตราสารหนี้ต่างประเทศมากขึ้น พร้อมกับออกผลิตภัณฑ์ต่างๆให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อช่วงสร้างผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงในภาวะตลาดโลกและตลาดไทยผันผวน logo เล็ก (ปิดท้ายข่าว)

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP