WELCOME TO SEQUEL ONLINE (ซีเคว้ล ออนไลน์)
วันอาทิตย์ ที่ 22 ธันวาคม 2567 ติดต่อเรา
รวยด้วยกองทุนรวม!!!

เข้าสู่กลางปีกันแบบหนาวๆร้อนๆ สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะมีข่าวร้ายเข้ามากันแบบไม่สิ้นสุด ข่าวดีไป ข่าวร้ายมา แต่ข่าวร้ายช่วงระยะหลังๆเข้ามาบ่อยเกินความจำเป็นอยู่เสมอ อย่างไรก้ตาม โดยภาพรวมตลาดหุ้นไทยก็ยังแข็งแกร่งและแข็งแรงมาก ทั้งนี้ จะเป็นได้จากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงที่ผ่านมาโตสูงถึง 12% สูงกว่าช่วงปีที่แล้วที่อัตราการเติบโตยังไม่ถึงสองหลักเลยด้วยซ้ำไป

ในเมื่อตลาดหุ้นไทยเขาว่ากันว่าดีแล้ว แล้วกองทุนรวมของไทยละจะดีเหมือนกันไหม แต่จากที่มีการประเมินในเบื้องต้นพบว่า ในปีนี้กองทุนรวมหุ้นไทยกลับมาคึกคักตามภาวะที่สดใส ส่ววนกองทุนรวมที่ลงทุนในตลาดต่างประเทศซบเซาอาการดุย้ำแย่ไม่หวือหวาเหมือนสูงปีที่ผ่านมา ล่าสุด บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในบริษัทที่มีการวิเคราะหืข้อมูลละเอียดยิบเกี่ยวกับกองทุนรวมของไทย ได้ออกมาเปิดเผยภาพรวมกองทุนรวมครึ่งปีแรกของปี 2559 ของไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า

จากภาพที่เกิดขึ้นในช่วงตลอดครึ่งปีแรก กองทุนรวมของไทยไม่หวั่นต่อความผันผวนในตลาดหุ้นต่างประเทศแม้แต่นิดเดียว แถมยังมีการเดินหน้าโตอย่างต่อเนื่อง ครึ่งปีแรกกองทุนรวมโตแล้วกว่า 8.73% ส่งผลให้ยอดมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM)อยู่ที่4.42 ล้านล้านบาท เป็นมูลค่าที่เติบโตสูงไม่น้อย และเชื่อว่าสิ้นปีมูลค่ากดังกล่าวมีโอกาสแตะที่ระดับ 4.5 ล้านล้านบาทได้ไม่ยาก

thumbnail_FullSizeRender (1)

นักวิเคราะห์กองทุนประจำประเทศไทย นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ กล่าวว่า อุตสาหกรรมกองทุนรวมประเทศไทย จากความกังวลและความผันผวนที่มีอยู่มากในตลาดการลงทุนทั่วโลก เป็นผลให้นักลงทุนไทยเริ่มหันมาลงทุนในกองทุนรวมกันมากขึ้น เนื่องจากเริ่มเห็นประโยขน์จากการลงทุนที่ได้กระจายความเสี่ยง ทำให้ผ่านไปเพียงครึ่งปีแรก อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยปีนี้มีอัตราการเติบโตสูงกว่าเมื่อปีที่ผ่านมาทั้งปี เติบโตที่ 8.73% มูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 4.42 ล้านล้านบาท

และไม่เพียงแต่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเท่านั้นที่เติบโต ในแง่ของเม็ดเงินลงทุนใหม่ที่ไหลเข้าอุตสาหกรรมก็สูงจะทะลุ 319,733 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิของเมื่อปี 58 รวมทั้งปี เพียงแต่นักลงทุนยังคงเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและรวมถึงในกองทุนที่เน้นลงทุนแบบระยะสั้น ซึ่งอาจส่งผลถึงความผันผวนของเม็ดเงินไหลเข้าออกในอุตสาหกรรม

โดยครึ่งปีแรกของปีนี้ ประเภทกองทุนที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดนั้น นำมาโดยกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ทั้งสิ้น ได้แก่ Mid/Long Term Bond, Global High Yield Bond Fix Term และ Foreign Investment Bond Fix Term โดยมีเม็ดไหลเข้าสุทธิทั้งสิน 114,797 , 103,657 และ 49,025 ล้านบาท ตามลำดับ

อีกหนึ่งประเภทกองทุนที่ได้รับความนิยมในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้เช่นเดียวกันนั้นก็คือ กลุ่มกองทุนผสมทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทุนผสมที่ลงทุนในต่างประเทศ Global Allocation ที่สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนสุทธิเข้าอุตสาหกรรมได้สูงถึง 31,040 ล้านบาท ในทางกลับกันจะสังเกตได้ว่ากลุ่ม Money Market จากที่เคยเป็นแหล่งพักเงินหลักของนักลงทุนในช่วงที่ขาดความมั่นใจในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงนั้น กลับไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไป ทั้งนี้น่าจะเป็นผลมาจากอัตราผลตอบแทนที่ไม่เป็นที่จูงใจมากนักเท่าไรตลอดช่วงปีที่ผ่านมา

ส่วนการลงทุนในกลุ่มกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้นั้น ยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยอัตราที่ลดลงหรือเริ่มชลอตัว ถึงแม้ว่าจะมีกองทุนเปิดใหม่กว่า 32 กองทุนในช่วงที่ผ่านมาแต่กลับสามารถทำยอด IPO ได้เพียง 13,302 ล้านบาทเท่านั้น และรวมไปถึงเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิของกองทุนในกลุ่มดังกล่าวนี้ก็ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของเมื่อปีที่แล้วกว่า -66%

โดยครึ่งปีแรกนี้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิเพียง 24,383 ล้านบาท (ครึ่งปีแรกปี2558 อยู่ที่ 72,000 ล้านบาท) ซึ่งเม็ดเงินที่ไหลเข้าสุทธิของกองทุนในกลุ่ม กองทุนในต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุน Term Fund) นี้ไหลไปยังกลุ่ม Global Allocation ที่ในปีนี้ทาง บลจ มีการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อว่า Global Income Fund มาขายและได้รับความนิยมจากนักลงทุนค่อนข้างสูง แต่เป็นที่น่าสังเกตในรายละเอียดของกองทุนทั้งหมดนั้นไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ซึ่งดูจะขัดกับชื่อของกองทุนขณะที่กองทุน Commodities Precious Metals (ทองคำ) เริ่มมีนักลงทุนนำเงินออกหลักจากที่ทำผลตอบแทนได้ดีในครึ่งปีแรกนี้ โดยมีเงินไหลออกกว่า 4,186 ล้านบาท

ซึ่งในกลุ่มการลงทุนในต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุน Term Fund) นี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงครองความเป็นเจ้าตลาดอยู่โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด 34% แต่ลดลงจากปี 58 (38%) และจากที่เคยมีอยู่สูงถึง 47.83% ในปี 2557 โดยทีปัจจุบันมีเงินลงทุนรวมในกลุ่มนี้ 121,927 ล้านบาท อันดับที่ 2 บลจ. ไทยพาณิชย์ที่กระโดดจากอันดับที่ 5 เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยมีส่วนแบ่งที่ 11.18% สินทรัพย์สุทธิรวม 39,199 ล้านบาท ขณะที่ บลจ.กรุงศรี ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 3 มีส่วนแบ่ง 9.96% มีเงินลงทุนประมาณ 34,917 ล้านบาท

ขณะที่กองทุนหุ้นไทย (ไม่นับรวม LTF และ RMF) นั้นมีเงินไหลออกสูงถึง -7,386 ล้านบาท (หุ้นขนาดใหญ่ Equity Large Cap -8,128 ล้านบาท หุ้นขนาดกลางและเล็ก Equity Small/Mid Cap 743 ล้านบาท)โดยเป็นผลมาจากนักลงทุนขายทำกำไร อันเนื่องมาจากผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ผ่านมา

แต่อย่างไรก็ตามภาพรวมมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในกลุ่มนี้ยังคงโตจากปีที่แล้ว 7.11% มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมอยู่ที่ 169,741 ล้านบาท โดยกองทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้ลงทุนยังคงเป็นแชมป์เก่าหน้าเดิมกองทุน Krungsri Dividend Stock ที่มีเม็ดเงินไหลเข้า 2,555 ล้านบาท ขณะที่อันดับ 2 ก็คือ TISCO Mid/Small Cap Equity กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้สูงที่สุดประจำปี 2558 นั้นเองที่ 416 ล้านบาท และอันดับ 3 เป็นของกองทุน CIMB-Principal (FAM) EEF จาก บลจ. ซีไอเอ็มบี ที่ 214 ล้านบาท

สำหรับกองทุนประเภท Trigger fund ครึ่งปีแรกนี้มี Trigger fund เปิดขายใหม่เพียง 13 กองทุนและทำยอด IPO รวมทั้งสิ้นได้ไม่ถึง1,500 ล้านบาท ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับช่วงเวลาที่เป็นที่ Trigger fund เป็นที่นิยม ซึ่งครั้งหนึ่งเคยออกกันอย่างคึกโคม ตัวอย่างเช่นเมื่อครึ่งปีแรก 2558 มีออกกองทุน Trigger fund กว่า 68 กองทุน โดยทำยอด IPO ได้สูงกว่า 30,000 ล้านบาท

หรือแท้จริงแล้วเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงไม่สามารถขายกองทุน Trigger fund ได้เนื่องจากผลตอบแทนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายเป็นผลทำให้ขาดความเชื่อมั่นและไม่มีเงินมาลงทุน โดยปัจจุบันยังมีกองทุน Trigger fund ทั้งสิ้นกว่า 200 กองทุนที่ยังทำผลตอบแทนไม่ถึงเป้าหมาย ซึ่งมูลค่าทรัพย์สินคงค้างกว่า 36,000 ล้านบาท

ผลตอบแทนกองทุนรวมประเภทต่างๆ มองว่า ความผันผวนของตลาดการลงทุนทั่วโลกที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้วยังคงส่งผลต่อเนื่องมาถึงช่วงนี้ และรวมไปถึงความผันผวนของราคาน้ำมัน และล่าสุดกับผลการลงประชามติออกจาก Eurozone ของ สหราชอาณาจักร นั้นส่งผลให้ผลตอบแทนกองทุนโดยเฉพาะกลุ่มหุ้นในต่างประเทศติดลบกันทั่วหน้า

ดังนั้น ความโดดเด่นของผลตอบแทนในช่วงครึ่งปีแรกนี้จึงเป็นของ safe heaven asset ที่นักลงทุนไทยต่างรอคอยกันมานานนั้นก็คือ กลุ่มทองทุนทองคำ ที่สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 20.74% ตามมาด้วยกลุ่ม Property Indirect ที่ยังคงทำผลตอบแทนได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยครึ่งปีแรกนี้ทำได้เฉลี่ย 16.43%ขณะที่กลุ่มหุ้นไทยทั้งกลุ่ม Equity Large Cap และ Equity Small/Mid Cap ก็ไม่น้อยหน้าโดยสามารถทำได้เฉลี่ย 10% และ 9.20%

ถึงแม้ว่าดัชนี SET Index จะโตกว่า 12.46% ก็ตาม ในขณะที่กลุ่มดาวเด่นที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมานั้นทั้ง กลุ่ม Japan Equity กลุ่ม Healthcare และกลุ่ม Europe Equity ในครึ่งปีแรกนี้ล้วนแต่ทำผลตอบแทนได้ติดลบทั้งสิ้นที่ -16.24%, -10.96% และ -8.36% ตามลำดับ

thumbnail_FullSizeRender

ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้นั้น ต่างทำผลตอบแทนได้เป็นอย่างดีทั้งส่วนที่ลงทุนในและต่างประเทศ ยกเว้นแต่กลุ่ม Money Market ที่ผลตอบแทนดูจะน้อยลงไปมากโดยทำได้เฉลี่ยเพียง 0.55% ส่วนกลุ่มกองทุนตราสารหนี้ทั้ง Short Term Bond และ Mid/Long Term Bond ที่ 0.86% และ 1.65%

ขณะที่กลุ่ม Emerging Market Bond นั้นโดดเด่นอย่างมากที่เฉลี่ยผลตอบแทน 8.36% แต่ก็ต้องไม่ลืมว่ากลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกัน ขณะที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะกองทุนน้ำมันนั้นก็เริ่มดีขึ้นบ้างโดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผลตอบแทนสูงถึง 17.4% แต่อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมยังมีความผันผวนอยู่มาก

ปิดท้ายกันเช่นเคยที่กองทุน LTF และ RMF ที่ในครึ่งปีแรกนี้ในภาพกว้างมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนทั้ง 2 ประเภทยังคงโตอย่างต่อเนื่อง โดยกองทุน LTF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิโตจนใกล้ทะลุ 300,000 ล้านบาท แต่โตขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ 5.86% ขณะที่RMF ก็เช่นเดียวกันโตเพียงเล็กน้อยที่ 5.81% ทำให้มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิมาอยู่ที่ 189,621ล้านบาท

แต่หากมองในส่วนของเม็ดเงินสุทธิที่ไหลเข้าออกกองทุนทั้ง 2 ประเภทนั้นต้องบอกว่าน่าผิดหวังพอสมควร โดยนักลงทุนอาศัยจังหวะที่ผลตอบแทนหุ้นค่อนข้างดีทำการขายเงินลงทุนออกส่งผลให้กองทุน LTF นั้นมีเงินไหลออกสุทธิกว่า -10,623 ล้านบาท สูงสุดนับแต่ปี 2556 (นับเฉพาะช่วงครึ่งปีแรก) ขณะที่ RMF นั้นก็เช่นเดียวกันมีเงินไหลออกกว่า -1,256 ล้านบาท สูงสุดตลอดกาล รวมทั้งครึ่งปีแรกนี้มีกองทุน RMF ออกใหม่เพียงแค่กองทุนเดียวเท่านั้นจึงขาดแรงกระตุ้นอีกแรงหนึ่ง

ดังนั้น เชื่อได้ว่าเม็ดเงินลงทุนในกองทุนทั้ง 2 ประเภทนี้ยังคงจะไปกระจุกตัวกันในช่วงท้ายของปีอีกเช่นเคย แต่ประเด็นที่น่าติดตามคงหนีไม่พ้นในส่วนของกองทุน LTF ที่ได้มีการเปลี่ยนเกณฑ์ในการลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์เป็นปีแรกจากที่ลงทุน 5 ปีเป็น 7 ปีปฎิทิน ซึ่งอาจส่งผลต่อเม็ดเงินลงทุนสุทธิทั้งปี logo เล็ก (ปิดท้ายข่าว)

การเงิน ดูทั้งหมด



COPYRIGHT © 2016 SEQUEL ONLINE. ALL RIGHTS RESERVED.
FOLLOW UP