11 กรกฎาคม 2562 : นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี ‘ประยุทธ์ 2/1’ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้ว คาดว่านโยบายเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะแถลงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม จะเกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของ 3 พรรคร่วมรัฐบาล เช่น การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, การดูแลราคาสินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว ยาง ปาล์ม, การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ เป็นต้น รวมทั้งจะดำเนินการเร่งรัดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะโครงการใน EEC ให้มีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเมื่อรวมทุกนโยบาย จะสามารถคำนวณเป็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 3.5 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 2% ต่อ GDP โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือรัฐบาลจะสามารถเดินหน้านโยบายได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะอาจมีข้อจำกัดในการขาดดุลงบประมาณ อีกทั้งต้องจับตาว่า รัฐบาลจะสามารถผลักดันโครงการต่างๆ ให้เห็นผลในเชิงประจักษ์ได้มากน้อยแค่ไหน
“หากรัฐบาลเดินหน้านโยบายได้ทั้งหมดจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 3.5 แสนล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น 1. การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและโครงการมารดาประชารัฐ 7.2 หมื่นล้านบาทต่อปี 2. การดูแลราคาสินค้าเกษตร 1 แสนล้านบาทต่อปี และ 3. การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% สำหรับคนชั้นกลาง 1.7 แสนล้านบาท แต่ด้วยข้อจำกัดของการขาดดุลงบประมาณภายใต้กฎหมายและการเติบโตของ GDP ในปัจจุบัน คาดว่าจะขาดดุลงบประมาณได้ไม่เกิน 6.3 – 7.2 แสนล้านบาทต่อปี จึงทำให้รัฐบาลอาจจะต้องต้องลดทอนนโยบายบางอย่าง หรือหั่นมาตรการที่มีอยู่เดิม” นายอภิชาติกล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากการประกาศนโยบายและเริ่มเดินหน้าโครงการต่างๆ แล้ว คาดว่าเม็ดเงินรัฐบาลที่จะอัดฉีดเข้ามาในระบบจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาส 4/2562 อย่างไรก็ดี ภายใต้ความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก บล.ทิสโก้ยังชอบหุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งในแง่ของการบริโภค และการลงทุน
แต่ด้วยดัชนีหุ้นไทยปีนี้ปรับขึ้นมาถึง 11% ซึ่งใกล้เคียงกับเป้าหมายหุ้นไทยในปี 2562 ที่ 1,790 จุดแล้ว ดังนั้น จึงต้องเลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์กับการบริโภคในประเทศแต่ราคายังขึ้นช้า และมี Upside ข้างหน้าอยู่ สำหรับหุ้นที่แนะนำเกี่ยวกับการบริโภค ได้แก่ BJC, ROBINS และ AEONTS หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุน ได้แก่ AMATA, ROJNA, WHA, EASTW, CK, STEC, SEAFCO และ PYLON ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่คาดจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มเงินทุนต่างประเทศไหลเข้า ได้แก่ BBL, INTUCH, MINT และ TU