22 พฤษภาคม 2562 : ช่วงนี้จะเห็นการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ใหม่ในด้านต่างๆ ออกมามากมาย บางฉบับก็ออกมาใหม่เอี่ยม บางฉบับจะเป็นในลักษณะแก้ไขกฎเกณฑ์ข้างในใหม่ ให้สอดคล้องกับสภาพในปัจจุบันและเป็นไปตามกฎหมายนั้นๆ มากขึ้น
และการที่มีพ.ร.บ.ในด้านต่างเพิ่มขึ้นมากมาย ส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขหรืออกใหม่ เพื้อเพิ่มความสะดวกในการควบคุมดูแลในด้านต่างๆ ไม่ให้เกิดผลเสียต่อประเทศ และเพื่อไม่ให้เอื้อประโยชน์กลุ่มกลุ่มหนึ่ง รวมถึงการปิดกันการกระทำผิดของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากมองโดยรวมถึอว่าเป็นประโยชน์ที่ดี แต่ก็มีหลายคนที่โอดโอยกับพ.ร.บ.ต่างๆ ที่ออกมา ที่ทำไม่ให้เกิดช่องทางทุจริตหรือล่อลวงได้ หรือลดช่องทางการทำมาสุจริต แต่ภาพรวมของพ.ร.บ.ต่างๆนั้น เพื่อปกป้องประชาชนในประเทศไม่ให้พลาดท่าเสียทีใครซะมากกว่า และเมื่อไม่นานมานี้ ในส่วนงานด้านตลาดทุน ได้มีพ.ร.บ.ใหม่ออกมา เราลองมาดูกันว่า พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯตัวใหม่นี้มีข้อดีข้อเสียกันอย่างไรบ้าง
โดย นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกพกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( ก.ล.ต.)ได้ออกมาอธิบายว่า กฎหมายหลักทรัพย์ หรือ พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฉบับที่ 6 มีผลใช้บังคับแล้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาตลาดทุนไทยให้สามารถแข่งขันและมีมาตรฐานเทียบเท่าสากล สร้างความยืดหยุ่นให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ออกหลักทรัพย์ และเพิ่มความคุ้มครองให้แก่ผู้ลงทุน กฎหมายใหม่นี้มีประโยชน์ต่อผู้มีส่วนร่วมในตลาดทุนหลายกลุ่ม
กลุ่มแรก คือ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งกฎหมายใหม่นี้จะสร้างความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจ โดยสร้างโอกาสให้สามารถนำเสนอบริการใหม่ ๆ ในตลาดทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเกี่ยวกับการลงทุนที่ตอบโจทย์และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ลงทุนด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
การปรับปรุงกฎหมายที่สำคัญในส่วนนี้ คือ การยกเลิกการกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำไว้ในกฎหมาย แต่เปิดให้ ก.ล.ต. กำหนดตามความเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจได้ ซึ่งถือว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบธุรกิจทั้งรายใหม่และรายเก่าได้มาก นอกจากนี้ กฎหมายใหม่ยังเพิ่มความคล่องตัวให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจจัดการลงทุน หรือ บลจ. ที่ต้องมีการขอมติจากผู้ถือหน่วยหากต้องการแก้ไขเพิ่มเติมโครงการจัดการกองทุนรวมหรือวิธีการจัดการให้สะดวกยิ่งขึ้น
กลุ่มที่สอง คือ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ใหม่จะเปิดทางให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สามารถเชื่อมโยงกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ ตลท. และอาจนำไปสู่การเพิ่มฐานผู้ลงทุนในต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น
กลุ่มผู้ออกหลักทรัพย์ ซึ่งรวมทั้งบริษัทที่ทำไอพีโอ และบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ โดยกฎหมายใหม่เปิดให้สามารถใช้ระบบ scripless หรือระบบไร้ใบหลักทรัพย์ ได้ตลอดกระบวนการ ตั้งแต่การออกหลักทรัพย์จนไปถึงการรับฝากหลักทรัพย์ซึ่งทำผ่านศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. จะสร้างความสะดวกและลดขั้นตอนสำหรับผู้ออกหลักทรัพย์ตลอดจนผู้ถือหลักทรัพย์ได้เป็นอย่างมาก
และสำหรับกลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งมีความสำคัญที่สุดนั้น ประโยชน์ที่กลุ่มผู้ลงทุนจะได้จากกฎหมายใหม่ฉบับนี้มีหลายด้านด้วยกัน อาทิ โอกาสในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการในตลาดทุนในรูปแบบใหม่ ๆ ได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่เหมาะสม และการได้รับความคุ้มครองมากขึ้นสำหรับผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวม จากการที่กฎหมายกำหนดให้ บลจ. ต่าง ๆ ต้องดูแลป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และการกระทำที่ไม่เป็นธรรม และเพิ่มข้อกำหนดให้ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของผู้ถือหน่วย ด้วยความรู้ความสามารถเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนจะได้ประโยชน์จากการที่กฎหมายใหม่ยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ให้เทียบเท่าสากล เพื่อให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และคำนึงถึงประโยชน์ของตลาดทุนและผู้ลงทุนอย่างรอบด้าน รวมถึงประโยชน์ที่จะได้รับในระยะยาวจากการที่กฎหมายมีการส่งเสริมการแข่งขันที่มากยิ่งขึ้นในตลาดทุน
ทั้งนี้ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ใหม่ยังกำหนดให้มีการจัดตั้ง กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน หรือ CMDF เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายและบูรณาการงานด้านการพัฒนาตลาดทุนให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยแยกบทบาทหน้าที่ในด้านการพัฒนาตลาดทุนออกจากการเป็นศูนย์กลางในการซื้อขายหลักทรัพย์ของ ตลท.
โดย CMDF จะมีประธานกรรมการ ตลท. เป็นประธาน มีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ รวมถึงผู้จัดการ ตลท. และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคณะกรรมการ CMDF จะมีการแต่งตั้งผู้จัดการ CMDF เป็นผู้ทำหน้าที่บริหารงานตามนโยบายของคณะกรรมการ เพื่อสร้างประโยชน์การพัฒนาตลาดทุนเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง