23 เมษายน 2562 : นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TCAP เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวน 4,061 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 148 ล้านบาท หรือ 3.78% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทฯ จำนวน 2,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117 ล้านบาท หรือ 6.16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROAA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉลี่ยอยู่ที่ 1.53% และ 12.08% ตามลำดับ
ซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ของธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ TCAP ที่ได้ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) และมุ่งเน้นในการเป็นธนาคารหลัก (Main Bank) ที่ลูกค้าใช้บริการ เป็นผลให้ธนาคารธนชาต และบริษัทย่อย มีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาส 1 ปี 2562 ฐานรายได้รวมของบริษัทฯและบริษัทย่อย ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 6.25% จากปริมาณสินเชื่อและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 8.15% จากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและกำไรสุทธิจากเงินลงทุน ในส่วนของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานปรับลดลง 7.13% จากการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนการตั้งสำรอง (PPOP) เพิ่มขึ้น 10.25% ในขณะที่ค่าใช้จ่ายหนี้สูญหนี้สงสัยจะสูญลดลง 30.75%
ในส่วนสินทรัพย์รวมของกลุ่มธนชาตปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปีที่ผ่านมา โดยสินเชื่อขยายตัว 1.21% จากการเติบโตของสินเชื่อรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินเชื่อเช่าซื้อที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินรับฝากลดลง 1.11% แต่อย่างไรก็ตามเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวัน (CASA) ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 49.29%
ทางด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพของกลุ่มธนชาต ปรับตัวลดลง 2.88% จากสิ้นปี 2561 และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) อยู่ที่ 2.28% ขณะที่ อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั้งหมดต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 120.85% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารเท่ากับ 19.18%
จากผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง ทำให้ TCAP สามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2561 เป็นเงิน 2.60 บาทต่อหุ้น โดยแบ่งเป็นจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2561 ในอัตราหุ้นละ 1.00 บาท และเหลืออีก 1.60 บาท ที่จะขออนุมัติจ่ายจากการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 เมษายน นี้
ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลของ TCAP ได้จ่ายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปี 2559 ที่จ่าย 2.00 บาทต่อหุ้น ปี 2560 จ่าย 2.20 บาทต่อหุ้น และล่าสุดปี 2561 จ่าย 2.60 บาทต่อหุ้น ถือเป็นบริษัทที่สามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างต่อเนื่อง
“เมื่อดูถึงศักยภาพโดยรวมทั้งหมด TCAP ไม่เพียงแต่ได้ประโยชน์จากการลงทุนในธนาคารธนชาตและบริษัทย่อย ยังมีธุรกิจบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ซึ่ง Active เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่ยังช่วยหนุนกำไรให้สูงขึ้นอีก นอกจากนี้ภายหลังการรวมกิจการระหว่าง ธนาคารธนชาต และ ทีเอ็มบี เสร็จสมบูรณ์ ธนาคารใหม่นี้จะมีความสามารถในการเติบโตทางธุรกิจและสร้างผลกำไรที่ดีขึ้น
ซึ่งผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นนี้จะสะท้อนมาสู่ TCAP อย่างมีนัยสำคัญ เพราะ TCAP เป็น 1 ในผู้ถือหุ้นใหญ่ ด้วยสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่า 20% เมื่อผนวกกับผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัทลูกอื่นๆ จะทำให้ TCAP ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีและมีการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต “ นายศุภเดช กล่าว