3 เมษายน 2562 : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูการลงทุน ขยายความถึง การที่จะเป็น Value Investor “พันธุ์แท้” นั้น ถ้าจะบอกว่าเป็น “เรื่องยาก” ก็คงจะไม่ผิด แต่ถ้าบอกว่ามันเป็นเรื่อง “ไม่ยาก” ก็อาจจะไม่ผิดเช่นเดียวกัน เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งนั้น น่าจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติส่วนตัวและนิสัยของคนที่ต้องการจะเป็น VI คนบางคนนั้นพยายามเท่าไรหรือพยายามเรียนรู้เท่าไรก็ไม่สามารถทำได้
แต่สำหรับบางคนแล้ว แค่ได้รับคำอธิบายหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับ VI ไม่เท่าไรก็เข้าใจและปฏิบัติได้แทบจะทันที บางทีอาจจะเพราะว่าหลักการของ VI นั้น มันตรงกับ “จริต” หรือความคิดและความเชื่อของเขาที่ฝังอยู่ในใจมานาน บางที “ตั้งแต่เกิด” ดังนั้น เขาจึงยอมรับมันอย่างเต็มใจและทุ่มเทกับมันและกลายเป็น “VI ผู้มุ่งมั่น” ที่ลงทุนและใช้ชีวิต “แบบ VI”
คุณสมบัติของคนที่จะเป็น Value Investor พันธุ์แท้ ได้ง่ายนั้น ผมอยากจะเรียกว่าเป็น “Natural Value Investor” ซึ่งเป็นคุณสมบัติส่วนตัวบางอย่างที่จะทำให้เขาสามารถเรียนรู้และปฏิบัติตนแบบ VI ได้ง่ายและอาจจะไม่ต้องพยายามหรือฝืนใจอย่างหนัก เขาสามารถทำมันได้แบบเป็น “ธรรมชาติ” มาก เขาอาจจะไม่รู้สึกกระวนกระวายและคิดว่าจะต้องขายหุ้นในยามที่ตลาดหลักทรัพย์หรือหุ้นที่เขาถืออยู่ตกลงมาอย่างหนัก
โดยที่พื้นฐานของกิจการดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เขาอาจจะสามารถขับรถเก่าราคาถูกไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้สนใจว่าใครจะมองว่าจนหรือไม่รวยทั้ง ๆ ที่เขาเป็นเศรษฐี และตัวอย่างของคนที่น่าจะเป็น Natural VI ที่เรารู้จักกันดีก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ แต่สิ่งที่คนจำนวนมากอาจจะไม่รู้ก็คือ คนอย่าง จอห์น เนฟ หรือเซียน VI ระดับโลกหลายคนก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน เขาเหล่านั้นเป็น “Natural Value Investor” เป็นคนที่เรียนรู้และใช้ชีวิตแบบ VI มานานหรือตั้งแต่เด็กก่อนที่จะดังระดับโลก
คุณสมบัติของ Natural VI ที่ผมคิดว่าสำคัญมากและใครก็ตามที่มีลักษณะหรือนิสัยแบบนั้นจะมีศักยภาพเป็น “VI พันธุ์แท้” ได้ง่ายถ้าเริ่มเข้ามาศึกษา เรียนรู้และปฏิบัติตน ก็คือ
ข้อแรก เป็นคนที่มีนิสัย “ประหยัดอดออม”
ไม่ชอบใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายหรือใช้เงินในสิ่งที่ “ฟุ่มเฟือย” โดย “ไม่จำเป็น” ตัวอย่างเช่น การใช้สินค้าแบรนด์เนมที่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ใช้สอยและรู้สึก “เสียดายเงิน” ที่อาจจะหามาได้อย่าง “ยากเย็น” การเป็นคน “ประหยัด” นั้น แน่นอน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนที่ “ยังไม่มีเงิน” พอที่จะใช้จ่ายสินค้าหรูหรือแพง แต่คนที่ “ไม่มีเงิน”
ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยประหยัด หลายคนพอมีเงินหรือได้เงินมาก็ใช้จ่ายเกินตัวและติดหนี้สินอีกต่างหาก ดังนั้น คนประหยัดในความหมายที่แท้จริงก็คือคนที่ “ใช้จ่ายเงินน้อยกว่าความมั่งคั่งหรือสินทรัพย์สุทธิ” ของเขามาก ซึ่งทำให้เขาสามารถ “ออมเงิน” ได้มากกว่าคนปกติที่มีรายได้เท่า ๆ กัน
ข้อสองที่จะทำให้คน ๆ นั้นมีโอกาสเป็น VI ได้ง่ายก็คือการเป็นคนที่ “มีเหตุมีผลเสมอ”
หรือมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล ไม่เชื่อในเรื่องที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่มีข้อพิสูจน์เช่นเรื่องของไสยาศาสตร์หรือโหราศาสตร์ ความเชื่อที่มีเหตุมีผลนั้น แน่นอน ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ แบบหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ศาสตร์ทางสังคมเช่นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลที่ทำให้เราสามารถคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ในสังคมและในทางเศรษฐกิจได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงพอที่จะนำมาใช้ในการลงทุนและดำรงชีวิตได้ ประเด็นสำคัญก็คือ คนที่จะเป็น VI นั้น จะต้องคิดแบบมี Logic หรือมีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเชื่อ
ข้อสามก็คือ VI โดยธรรมชาตินั้น มักจะต้องเป็นคนที่มี “วินัย” สูง
นั่นก็คือ เมื่อเขามีหลักการ มีความคิดและมีแผนที่จะทำอะไรรวมถึงการลงทุนในหุ้นที่เขาศึกษาและวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว เขาก็จะทำตามแผนการนั้นโดยไม่วอกแวก เขามักจะเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์และมักจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่าย ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบชั่วคราวแต่ในระยะยาวแล้วสิ่งที่เขาคิด เชื่อ และกระทำยังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การเป็นคนที่มีวินัยสูงนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่คนอื่นกำหนด ตรงกันข้าม วินัยนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ผ่านการพิจารณาและไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี มีเหตุมีผลและมีข้อพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและจะทำให้เราประสบความสำเร็จในระยะยาว
ตัวอย่างที่ผิดที่เรามักจะพบบ่อยมากในเรื่องของการลงทุนก็เช่น คนบางคนซื้อหุ้นบางตัวที่ไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีเลยในราคาที่แพงแต่กลับคิดว่ามันเป็น “หุ้น VI” แต่หลังจากนั้น ราคาหุ้นตกลงไปมาก เขาคิดว่าเขา “มีวินัย” ที่จะ “ถือยาว” แบบ “VI” ที่เชื่อว่าราคาที่ลงนั้นแค่ความผันผวน ไม่ช้าราคาหุ้นก็จะต้องปรับตัวกลับขึ้นมา แต่นี่ไม่ใช่วินัยที่ถูกต้อง วินัยที่ถูกต้องแท้จริงก็คือ การซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีและราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง และถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็จะไม่จำเป็นต้องขายหุ้นถ้าราคามันตกลงมา
Natural Value Investor ข้อสุดท้ายที่ผมคิดว่าถ้าคุณเป็น โอกาสที่คุณจะกลายเป็น VI ง่ายขึ้นก็คือ คุณ “เกิดมาจน”
เพราะถ้าเกิดมาจน โอกาสที่คุณจะเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็น่าจะน้อยลงไปมาก คุณมีโอกาสที่จะกลายเป็นคนประหยัดอดออมได้มากกว่าปกติเพราะคุณอาจจะต้องออมเงินไว้ใช้ในยามที่คุณประสบปัญหา “ไม่มีเงินกินข้าว” คุณมักจะเห็น “คุณค่าของเงิน” มากกว่าคนที่รวยกว่า แต่การเกิดมาจนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีโอกาสเป็น VI มากกว่าคนอื่น ตรงกันข้าม ถ้าคุณเกิดในครอบครัวที่ยากจน โอกาสสูงว่าคุณอาจจะไม่ได้เป็นนักลงทุนด้วยซ้ำอย่าว่าแต่จะเป็น VI เลย เหตุผลเป็นเพราะเวลาที่เกิดเป็นคนจนแล้ว
โอกาสที่จะมีคุณสมบัติอย่างอื่นก็มักจะด้อยไปมาก เช่น เรื่องของการศึกษาที่คุณมักจะด้อยกว่าค่าเฉลี่ย เรื่องของความคิดต่าง ๆ ก็อาจจะไม่สอดคล้องเพราะคุณอาจจะอยู่ในสังคมที่คนมักเชื่อในเรื่องของบุญกรรมแต่ชาติก่อนที่ทำให้เกิดมาจน เป็นต้น พูดง่าย ๆ เรื่องของ Logic อาจจะหายไปมากก็ได้
คนที่เป็น Natural VI ตามคุณสมบัติหลายข้อที่ผมกล่าวถึงนั้น จะต้องหมายถึงว่าคุณสมบัติอย่างอื่น ๆ เช่น เรื่องของการศึกษาและเรื่องของ IQ จะต้องไม่แพ้คนโดยทั่วไปหรือคนที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกันด้วย และถ้าคุณมีคุณสมบัติ 4-5 ข้อที่ผมพูดถึงแล้ว โอกาสที่คุณจะเป็น VI หลังจากผ่านการศึกษาเรียนรู้แล้วก็จะง่ายขึ้น การที่จะต้อง “ปรับตัว” หรือปรับความคิดต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีคุณสมบัติดังกล่าวหรือมีไม่ครบถ้วน คุณก็ยังมีโอกาสเป็น VI ที่ดีได้ถ้าคุณสามารถปรับความคิดหรือปรับแนวทางให้เป็นแบบแนว VI ที่ถูกต้องได้เพียงแต่ว่ามันอาจจะยากกว่า นอกจากนั้น เรื่องของ Degree หรือระดับของคุณสมบัติก็มีส่วนด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่ไม่ได้มี Logic มากเช่น คนที่มีความเป็นศิลปินมาก ๆ ก็อาจจะเป็น VI ได้ยาก แต่คนที่มีความคิดแนวเหตุผลและมีความเป็นศิลปินด้วยก็อาจจะไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเป็น VI ที่ดีเลยก็ได้
ผมเองลองมองย้อนมาดูตัวเองตั้งแต่เด็กก็พบว่าผมน่าจะเป็น “Natural Value Investor” ตั้งแต่เกิดเพราะเกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก เป็นคนที่อดออมและพยายามทำงานหาเงินมาตั้งแต่เด็กส่วนหนึ่งเพราะกังวลว่า “พรุ่งนี้ครอบครัวเราจะมีอะไรกินไหม” เพราะในสมัยเมื่อ 60-70 ปีก่อนนั้น ความจนแปลว่าคุณอาจจะไม่มีอะไรกิน ในช่วงที่เริ่มทำงานเก็บเงินได้แล้วนั้น อัตราการออมของผมน่าจะสูงกว่า 30%
นอกจากนั้น ผมเองก็เป็นคนที่มีวินัยและความรับผิดชอบสูงตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ชอบคิดเลขและใช้ Logic ในขณะที่รู้สึกว่าตนเองทำงานศิลปะและคิดแบบศิลปินไม่ได้เลย ทั้งหมดนั้นเป็นช่วงที่ผมยังเด็ก แต่เมื่ออายุมากขึ้นและเริ่มมีฐานะดีขึ้น ความคิดและนิสัยบางอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปบ้างส่วนหนึ่งมาจากคนใกล้ชิด ตัวอย่างเช่น เรื่องของการคิดแบบสร้างสรรค์เริ่มมีมากขึ้นจากคนที่เคยเป็นคน “หัวสี่เหลี่ยม” ความประหยัดอดออมก็ลดลง ทั้งหมดนั้นทำให้ผมกลายเป็น “VI ผู้มุ่งมั่น” ได้อย่างง่ายดายเมื่อผมเริ่มศึกษาและปรับตัวกลายเป็นนักลงทุนเต็มตัวเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา