25 มีนาคม 2562 : ยินดีกับรัฐบาลใหม่… หลังจากที่วางเว้นรัฐบาลแบบประชาธิปไตยมาเนินนาน ฝรั่งมังคาเริ่มหันมาสนใจเมืองไทยมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนสถาบันต่างชาติ ที่ไม่สามาถเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ เนื่องจากติดเงื่อนไขการลงทุน ว่า จะสามารถลงทุนนอกประเทศได้ ต่อเมื่อประเทศนั้นๆ ต้องมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง และภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทยดูท่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น
กูรูด้านลงทุนอย่าง นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จำกัด หรือ CPAM เคยให้ข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปีนี้ มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุน (ฟันด์โฟวล์)จากกองทุนสถาบันต่างประเทศขนาดใหญ่ 3 แห่งจะกลับเข้ามาลงทุนมีสูง หลังจากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก
เนื่องจากที่ผ่านมากองทุนดังกล่าวไม่สามารถลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ด้วยการติดเงื่อนไขการลงทุนในต่างประเทศที่จำเป็นต้องเป็นประเทศที่มีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนดังกล่าวที่จะกลับเข้ามายังไม่สามารถประเมินได้ในขณะนี้ จนกว่าจะได้รัฐบาลใหม่อย่างเป็นทางการแล้ว
สำหรับหุ้นไทยปีนี้ ประเมินกรอบดัชนีไว้ที่ระดับ 1,600-1,850 จุด โดยคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(บจ.) ไว้ที่ 7% โดยมีปัจจัยบวกมาจาก การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น , เม็ดเงินลงทุนภาครัฐ , การท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว , รวมถึง Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ขณะที่ต่างชาติถือหุ้นไทยต่ำสุดในรอบ 20 ปี
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่ยังคงต้องติดตามอยู่ คือ เรื่องสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศจีน เรื่อง Brexit รวมถึงความผันผวนในตลาดหุ้นโลกด้วย สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ให้น้ำหนักหุ่นกลุ่มค้าปลีก กลุ่มเฮลล์แคร์ กลุ่มสาธารณูปโภค และกลุ่มท่องเที่ยวบางตัว พร้อมกันนี้ นักลงทุนควรเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยเมื่อดัชนีเข้าใกล้ 1,600 จุด หรือต่ำกว่า
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ระบุว่าสำหรับสัปดาห์นี้ (25-29 มี.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,640 และ 1,625 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,660 และ 1,675 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คงได้แก่ ผลการเลือกตั้งภายในประเทศ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูง ความคืบหน้าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการพิจารณาข้อตกลง BREXIT ของรัฐสภาอังกฤษ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนม.ค. ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้าน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล รวมถึงดัชนี Core PCE Price Index เดือนก.พ. รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2561 ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนก.พ. ของญี่ปุ่น
ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับที่ 1,646.29 จุด เพิ่มขึ้น 1.27% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 2.02% จากสัปดาห์ก่อน มาที่ 39,510.52 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ลดลงเล็กน้อย 0.05% มาปิดที่ 365.37 จุด ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงช่วงต้นสัปดาห์ ก่อนจะดีดตัวขึ้นช่วงที่เหลือของสัปดาห์
ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มพลังงานมีแรงหนุนช่วงต้นสัปดาห์ หลังประเทศผู้ผลิตน้ำมันในกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร ยังยืนยันที่จะดำเนินการตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อไปจนถึงการประชุมเดือนมิ.ย. แม้ว่าจะยกเลิกกำหนดการประชุมในเดือนเม.ย. ก็ตาม นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทย (และตลาดหุ้นต่างประเทศ) ยังได้รับแรงหนุนจากการที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ ประกอบกับมีแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติและกลุ่มสถาบันในประเทศในช่วงปลายสัปดาห์
คราวนี้ลองมาดูหุ้นเด่นหลังการเลือกตั้งกันบ้าง ว่าตัวไหนมาแรงน่าสอยเข้าพอร์ต โดยบริษัทหลักทรัพย์ไอร่า จำกัด (มหาชน) ได้คัดเลือกดังนี้ (ตามรูปประกอบ)
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็หวังว่าจะช่วยกันพัฒนาประเทศและตลาดทุนอย่สงมือสะอาด และเติบโตอย่างต่อเนื่อง