13 มีนาคม 2562 : เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็กล่าวว่า “จะลงทุนอะไร ไม่ต้องดูอะไรมาก ดูแค่ทวิตของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ก็พอ ทวิตเดียวโลกก็เปลี่ยน”
หากมองลึกลงไปก็เป็นอย่างที่ใครๆ เขากล่าวกัน เนื่องจาก เวลา “ทรัมป์” ทวิตอะไรแต่ละครั่ง ตลาดหุ้นทั่วโลกมีสะเทือนก็ไม่ปาน และไม่ใช่แค่ตลาดหุ่นโลกเท่านั้นนะ ตลาดหุ้นไทยก็โดนหางเลขไปกับเขาด้วย การลงทุนจึงไม่ง่ายสำหรับช่วงปีสองปีที่ผ่านมา รวมถึงปีนี้ด้วย ประเด็นสำคัญที่ยังเป็นปัจจัยลบหลัก คือ สงครามทางการค้าระหว่างสองประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯและจีน
ดังนั้น หากลงทุนผ่านตลาดทุนเองคงไม่ง่าย บางทีคงต้องใช้มืออาชีพอย่าง บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่มีอยู่ในประทศไทย ซึ่งดูแล้ว น่าจะปลอดภัยกกว่าที่จะลงทุนเอง
สำหรับปัจจัยลบที่มี นัดลงทุนอย่างเราๆจะทำอย่างไร เรื่องนี้ กูรู ของบลจ.กรุงศรี มาแนะนำ ลองฟังกันดู
นางสุภาพร ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ยังคงมีความผันผวนตามปัจจัยลบจากต่างประเทศ นักลงทุยควรเน้นลงทุนระยะยาว 3-5 ปีขึ้นไป
สำหรับตราสารทุน และควรกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยง สำหรับกองทุนที่บลจ.กรุงศรีแนะนำ คือ กองทุน KFACHINA-A และ KF-HCHINAD อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนในประเด็นสงครามการค้ายังคงมีอยู่และความไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ซึ่งยากที่จะคาดเดา
ดังนั้น อีกทางเลือกที่ทางบลจ.กรุงศรี แนะนำ คือการลงทุนในกองทุนที่มีการปรับสัดส่วนการลงทุนเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ มีการกระจายความเสี่ยงสูง มีความผันผวนต่ำ และมีการบริหารโยกย้ายจากสินทรัพย์ตราสารทุนไปสินทรัพย์ตราสารหนี้ได้อย่างยืดหยุ่น นั้นก็ คือ กองทุนตระกูล Income funds ได้แก่ KF-INCOME, KF-CINCOME, KFMINCOME, KFAINCOME ซึ่งสามารถลงทุนได้ในระยะยาว หรือสามารถลงทุนในกองทุนที่มีลักษณะ Defensive ที่เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มสินค้าจำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคทั่วโลก อย่างกองทุน KF-GBRAND นั้นเอง
นางสุภาพร กล่าวอีกว่า บริษัทมีมุมมองการลงทุนในตราสารหนี้ โดยคาดว่า กองทุนประเภทตลาดเงินและตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยระยะสั้น ที่ทยอยปรับตัวขึ้นภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธ.ค. 2561ที่ผ่านมา
ในขณะที่กองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาวก็มีแนวโน้มจะสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าปีก่อนหน้า เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) ไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มาก โดยปัจจัยที่สำคัญประกอบด้วย อัตราเงินเฟ้อในประเทศที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
ในขณะที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ มีทิศทางชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับผลกระทบทั้งด้านการส่งออกตามสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐและจีน และการชะลอตัวในระยะสั้นของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศ เพื่อรอความชัดเจนทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง
ทำให้แนวโน้มนโยบายการเงินของไทยมีท่าทีผ่อนคลายลงและการจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นทำได้ยากกว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในระยะสั้น ตลาดตราสารหนี้อาจมีความผันผวนได้บ้างตามความเคลื่อนไหวของตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
ส่วนของการลงทุนต่างประเทศนั้น บลจ.กรุงศรีมีมุมมองว่า ความผันผวนในตลาดต่างประเทศจะลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้ว่าความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ ในปีนี้บริษัทคาดการณ์ว่า ดัชนีทั่วโลกจะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างดี ตลาดเกิดใหม่นำโดยจีน จะสามารถฟื้นตัวได้ดีกว่าตลาดพัฒนาแล้ว
เนื่องจากปัจจัยหลายประการ อันดับแรก คือ ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มมีท่าทีคลี่คลาย โดยสัปดาห์ที่แล้วประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ให้ความเห็นว่าการเจรจากับจีนเป็นไปได้ด้วยดี และประกาศเลื่อนเส้นตายการขึ้นภาษีจากวันที่ 1 มี.ค.2562 ออกไป
2.ธนาคารกลางสหรัฐมีท่าทีจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากที่เคยคาดการณ์ว่าจะขึ้น 3 ครั้ง ในปีนี้มาเป็น 1 ครั้งหรืออาจไม่ขึ้นเลย เนื่องจากเงินเฟ้อไม่ได้ร้อนแรงและเศรษกิจสหรัฐส่อแววถูกผลกระทบจากปัจจัยสงครามการค้า
3.ความไม่แน่นอนด้านการเมืองยุโรป ไม่ว่าจะเป็นประเด็นของ Brexit หรือ Italexit หรือเหตุการณ์ไม่สงบในฝรั่งเศส จะส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจและฉุดค่าเงินยูโรอ่อนค่าเป็นเหตุให้เงินไหลออกเพื่อไปเข้าภูมิภาคที่มีการเติบโตดีและราคาถูกกว่า
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นจะส่งผลดีต่อตลาดที่ปรับตัวลดลงไปค่อนข้างเยอะและมี PE ที่ค่อนข้างถูกจากการปรับตัวในปีที่แล้ว