1 มีนาคม 2562 : ดร.เสถียร สว่างโลก หรือ หมอเปิ่น ผู้บรรยายความรู้ด้านไคโรแพรคติก คลินิกการแพทย์แผนไทย การแพทย์แผนไทยประยุกต์สว่างโลก ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ กล่าวว่า “ปัจจุบันหนุ่มสาวออฟฟิศหันมาให้ความสนใจ และใช้วิธีการรักษาสุขภาพด้วยศาสตร์ “ไคโรแพรคติก” (Chiropractic) เพิ่มมากขึ้น และจากการสำรวจกลุ่มผู้ป่วยที่มารับการรักษาพบว่าอาการส่วนใหญ่จะปวดตั้งแต่ต้นคอ กลางหลัง ไปจนถึงสะโพก รวมถึงการปวดศีรษะ และมีเสียงสะท้อนในหู ซึ่งสาเหตุมาจากพฤติกรรมการนั่งในรูปแบบต่างๆ ที่ผิดหลักซ้ำจนเกิดความเคยชินและไม่รู้ตัว
เริ่มจากพฤติกรรมการนั่งยอดฮิต คือ “นั่งทำงาน” โดยเฉพาะในกลุ่มมนุษย์ออฟฟิศที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์วันละไม่ต่ำกว่า 7-8 ชั่วโมง ไม่นับรวมการก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งอาการส่วนใหญ่ที่พบ คือ การปวดบริเวณคอและบ่า เนื่องจากการก้มหน้ามองจอคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสายตา รวมถึงการใช้กำลังแขนในการพิมพ์งาน บางรายมีอาการปวดร้าวไปจนถึงบริเวณหลังและสะโพก เพราะเวลาที่จดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ จะทำให้ร่างกายเกิดการเกร็งกล้ามเนื้อลำตัว และทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไปที่บริเวณสะโพก
การแก้ไขเบื้องต้น คือ การปรับเปลี่ยนวิธีการนั่งใหม่ โดยนั่งให้สุดเก้าอี้ ไม่ควรนั่งเพียงแค่ปลายเก้าอี้ ใช้หมอนรองบริเวณหลังตรงสะโพก ปรับระดับคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับสายตา สังเกตเวลาพิมพ์งานจะต้องไม่ก้มหน้า และที่สำคัญคือ ทุกๆ 1 ชั่วโมง จะต้องลุกขึ้นเดินไปมา 3-5 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ได้ทำงาน
ส่วนพฤติกรรมต่อมาเป็นกิริยายอดฮิตของสาวๆ คือ “นั่งไขว่ห้าง” เพราะหลายคนคิดว่าการนั่งในลักษณะนี้จะทำให้มีบุคลิกภาพที่ดี แต่หากนั่งเป็นเวลานานจะทำให้น้ำหนักลำตัวเทไปที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง ส่งผลให้เกิดอาการปวดบริเวณเอว หลัง และเข่า โดยไม่รู้ตัว บางรายเกิดอาการหน้ามืดเวลาลุกขึ้นยืน เพราะเส้นเลือดใหญ่ที่ต้นขาทั้งสองถูกบีบเอาไว้ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก หัวใจทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ
อีกทั้ง หากนั่งไขว่ห้างจนติดเป็นนิสัย จะส่งผลเสียต่อกระดูกเชิงกรานคดผิดรูป ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการนั่งด้วยท่าดังกล่าว และควรนั่งให้ถูกวิธี คือ นั่งลำตัวตรง ขาทั้งสองข้างชิดกันพอหลวมๆ และปรับเก้าอี้นั่งให้หัวเข่าอยู่ต่ำกว่าเอวเล็กน้อย
“นั่งเท้าคาง” ก็เป็นอีกหนึ่งกิริยาที่สาวๆ ส่วนใหญ่ชอบทำเป็นประจำระหว่างนั่งคิดงาน หรือนั่งพักสายตา แต่รู้หรือไม่การนั่งเท้าคางเป็นประจำมีโทษร้ายแรงต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะมือที่เท้าคางจะไปดันกระดูกบริเวณหน้า ทำให้กรามเบี้ยวไปโดนเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน รวมถึงการได้ยินเสียงวิ๊งๆ ในหูตลอดเวลา
สาวๆ จึงควรต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมของตัวเองให้ดีและปรับเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน ด้วยวิธีง่ายๆ คือ เวลาคิดงานเปลี่ยนจากการคิดในสมอง มาใช้วิธีการจดลงบนสมุด เพราะจะทำให้เราใช้มือเขียนแทนการเท้าคาง หรือหากต้องการพักสายตา ให้เอนศีรษะไปที่พนักเก้าอี้แทน ซึ่งนอกจากจะช่วยหลีกเลี่ยงการเท้าคางแล้วยังช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวรคอจากการก้มหน้าทำงานได้อีกด้วย
สำหรับ คุณผู้ชาย ที่ชอบเอากระเป๋าสตางค์เหน็บไว้ที่กระเป๋ากางเกงด้านหลัง และ “นั่งทับกระเป๋าสตางค์” เป็นประจำจนเกิดความเคยชินก็เป็นการทำร้ายร่างกายเช่นกัน เพราะกระเป๋าสตางค์ที่นั่งทับจะทำให้การนั่งไม่สมบูรณ์ การรับน้ำหนักลำตัวของก้นทั้งสองข้างไม่เท่ากัน จึงทำให้กระดูกบริเวณสันหลังและสะโพกเคลื่อนตัวไปรบกวนเส้นประสาท
ส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะภายใน บริเวณช่วงล่าง ทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ อาทิ ท้องผูก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ การเสื่อมของระบบสืบพันธุ์ ลำไส้อุดตัน ร้ายแรงถึงการเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เป็นต้น วิธีการแก้ไขง่ายๆ คือ ถือกระเป๋าสตางค์แทนการเอาใส่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง อาจจะมาวางบนโต๊ะ เอาไว้ในลิ้นชักที่ปลอดภัย หรือพกเพียงเงินและบัตรต่างๆ เฉพาะที่จำเป็น ใส่ในกระเป๋าเสื้อแทน
ทั้งนี้ ดร.เสถียร ยังกล่าวต่อว่า “วิธีการรักษาอาการปวดเมื่อยเรื้อรังต่างๆ ที่ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ถูกหลักโครงสร้างของร่างกาย และควรยึดหลักการเดินให้มากกว่านั่ง หาเวลาออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ เล่นโยคะ เพื่อให้ทุกสัดส่วนของร่างกายได้ขยับเคลื่อนไหว ส่วนใครที่เริ่มมีอาการปวดเมื่อยแล้วก็ควรรักษาทันทีอย่าปล่อยไว้ สำหรับศาสตร์ “ไคโรแพรคติค” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการรักษาที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรอนามัยโลก เป็นศาสตร์ของการจัดปรับข้อกระดูกด้วยมือ เพื่อช่วยให้ข้อกระดูกมีการเคลื่อนตัวได้ดี ไม่ไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท และช่วยดูว่าระบบส่วนไหนที่ผิดปกติก็จะช่วยปรับให้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม”
ใครที่กำลังมีอาการเจ็บปวดเมื่อยเรื้อรังตามร่างกาย หรือมีพฤติกรรมเสี่ยงลองแวะไปขอคำปรึกษากับหมอเปิ่น ได้ที่ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ เปิดให้บริการทุกวัน โทรสอบถามรายละเอียด 02-108-6000