กรุงเทพฯ 15 กุมภาพันธ์ 2562 : นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2562 (1 ตุลาคม- 31 ธันวาคม 2561) ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 684 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 448 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 190 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,993 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นร้อยละ 341 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยบริษัทมีรายได้จากค่าเช่าโรงงาน และคลังสินค้ารวมกว่า 390 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราพื้นที่เช่าโรงงาน (Occupancy Rate) ร้อยละ 72 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 68 และอัตราพื้นที่เช่าคลังสินค้าร้อยละ 79 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 71 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังมีการรับรู้รายได้จากการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (FTREIT) ในเขตพื้นที่จังหวัดชลบุรี สมุทรปราการ อยุธยา ปทุมธานี ปราจีนบุรี มูลค่ารวมกว่า 1,907 ล้านบาท สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ
บริษัทเชื่อมั่นว่าจะยังคงส่งมอบผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในรอบบัญปีนี้ ขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนธุรกิจตามแผนกลยุทย์เพื่อรุกตลาด หลังจากการเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการเป็น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย และสัญลักษณ์การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็น FPT บริษัทจะได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเชี่ยวชาญ และเครือข่ายธุรกิจทั่วโลกที่มีความแข็งแกร่งของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้
สำหรับการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของผลการดำเนินงานที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลมาจากกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจที่สอดคล้องกับเทรนด์อุตสาหกรรมและความต้องการของผู้ประกอบการในปัจจุบัน รวมถึงการได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาคลังสินค้าให้แก่ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ โลจิสติกส์ (BJC) เพื่อรองรับการจัดเก็บสินค้าประเภทสุขภาพ และความงาม และพัฒนาคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) ให้แก่ เพาเวอร์บาย (Power Buy) บนทำเลยุทธศาตร์บางพลีเพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
นอกจากนี้ โครงการโรงงานและคลังสินค้าที่ได้รับความนิยมได้แก่ โครงการในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) ซึ่งผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ยังคงเป็นกลุ่มที่มีการขยายงานสูงในช่วงที่ผ่านมา สืบเนื่องจากภาวะการส่งออกและความชัดเจนจากการดำเนินการตามแผนการพัฒนาอีอีซีของภาครัฐ
“สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ ภายหลังการเปลี่ยนชื่อบริษัทอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์และจัดทัพองค์กรใหม่ เพื่อมุ่งหน้าขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทมากขึ้น ในขณะที่ยังเดินหน้าพัฒนาความเป็นเลิศทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอุตสาหกรรม พร้อมนำเสนอบริการและโซลูชั่นที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม เผยเป้าปีนี้จะขยายการพัฒนาพื้นที่ให้บริการแบบ Built-to-Suit เพิ่มขึ้นประมาณ 120,000 ตารางเมตร และเพิ่มอัตราการเช่าพื้นโรงงานและคลังสินค้า (Occupancy Rate) ให้สูงขึ้นประมาณร้อยละ 80
อีกทั้งยังเตรียมแผนการพัฒนาธุรกิจและการจัดการที่ดินขนาดใหญ่ (Land Bank) หลังการชนะการประมูลที่ดินขนาด 4,300 ไร่ บนทำเลยุทธศาสตร์บางนา-ตราด กม. 32 เพื่อนำมาพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรม (Township) พร้อมเดินหน้าพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ (Hyperscale Data Centre) บนพื้นที่ 15 ไร่ ย่านรามคำแหง ล่าสุดได้จับมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์อย่าง สหไทย เทอร์มินอล เพื่อลงทุนพัฒนาและบริหารโครงการโลจิสติกส์ พาร์ค และศูนย์กระจายสินค้าบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ ในเขตพื้นที่ศูนย์กลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ
โดยบริษัทมีความยินดีกับการเริ่มต้นที่แข็งแกร่งในปี 2562 ด้วยผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายสำหรับไตรมาสแรกนี้ มั่นใจผลการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมาย พร้อมนำองค์กรสู่การเป็นผู้นำการให้บริการสมาร์ทแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท” นายโสภณ กล่าวทิ้งท้าย