กรุงเทพฯ 23 มิถุนายน 2559 : แม้ว่าผู้นำธุรกิจราว 82% ต้องการบริหารการเงินให้ดีขึ้นด้วยการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีเงินทุนเหลือไปลงทุนสร้างการเติบโตให้องค์กร แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่จากจำนวนเกือบ 700 คนที่มีส่วนในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ของเอคเซนเชอร์ (ชื่อย่อในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก: ACN) กลับเห็นว่าองค์กรของพวกเขายังไม่สามารถผลักดันให้องค์กรเติบโตได้โดยสอดคล้องกับกลยุทธ์การลดต้นทุน
การศึกษาของเอคเซนเชอร์เรื่อง “การเพิ่มความคล่องตัวเพื่อกระตุ้นการเติบโตและความสามารถในการแข่งขัน” (Increasing Agility to Fuel Growth and Competitiveness) ซึ่งได้รับข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งรายงานของอุตสาหกรรมโดยตรง 13 อุตสาหกรรมทั่วโลก พบว่ามีเพียง 21% ของผู้ตอบแบบสำรวจที่มีความเชื่อมั่นว่า ภายใต้การบริหารงานของพวกเขานั้นมีโครงงานต่าง ๆ ที่เหมาะสมสอดคล้องกับเป้าหมายการลดต้นทุนขององค์กร มีเพียง 23% ที่กล่าวว่าบริษัทกำหนดกิจกรรมทางธุรกิจและลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยกเลิกสิ่งที่ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่องค์กร ดังนั้นจึงมีผู้ตอบแบบสอบสำรวจน้อยกว่าหนึ่งในสาม (30%) ที่กล่าวว่าการนำเงินจากการประหยัดต้นทุนไปลงทุนต่อ (reinvestment) มีความสอดคล้องกับ กลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัท
“บริษัทต่าง ๆ ควรเอากลยุทธ์การลดต้นทุน กับวิธีการใช้เงินที่ประหยัดได้ไปลงทุนต่อ มารวมเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน” นายนนทวัฒน์ พุ่มชูศรี กรรมการผู้จัดการ เอคเซนเชอร์ ประเทศไทย กล่าว “ผลการศึกษาของเราแสดงให้เห็นว่า บริษัทมากมายที่ทำไม่ได้ตามคาด ความพยายามเลี่ยงไม่ลดต้นทุนก็จบแค่นั้น ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรต่อ ฝ่ายบริหารต้องรู้แต่ต้นว่าปัจจัยใดทำให้องค์กรเติบโต ปัจจัยใดไม่มีผล และจะนำเงินออมที่ได้กลับไปลงทุนต่อตรงไหน”
เมื่อให้ผู้บริหารนึกถึงอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การจัดการต้นทุน มีเพียง 36% ที่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ธุรกิจของพวกเขายังสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์ที่ได้จากการลดต้นทุนต่าง ๆ มีผู้บริหารไม่ถึงหนึ่งในสี่ (24%) ที่เชื่อว่าบริษัทของพวกเขามีโมเดลที่ยืดหยุ่นพอสำหรับปรับตัวรองรับการปฏิบัติงาน และตอบสนองกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง หรือเป็นโมเดลที่มุ่งเน้นกิจกรรมที่ส่งเสริมการเติบโตและสร้างผลกำไรให้แก่บริษัท
อีกปัจจัยหนึ่งคือ การบริหารงานที่ไม่กลมกลืนกันระหว่างซีอีโอและซีเอฟโอ เพราะเกือบครึ่งหนึ่ง (51%) ของซีอีโอหรือประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าองค์กรจัดลำดับความสำคัญและจัดสรรทรัพยากรขององค์กรไปกับกิจกรรมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม เทียบกับเพียง 34% ของซีเอฟโอที่เห็นพ้องกับแนวคิดนี้ ทั้งนี้ 70% ของซีอีโอระบุว่า องค์กรประเมินผลตอบแทนจากการนำเงินออกไปลงทุนต่อ โดยเทียบกับความสำเร็จของการลงทุนปกติ ซึ่งมีเพียง 49% ของซีเอฟโอที่มองในมุมเดียวกัน ส่วนการจัดลำดับความสำคัญของการลงทุนต่อ 20% ของซีอีโอยอมรับว่า มีการจัดลำดับโดยให้การลงทุนที่มีผลตอบแทนเร็วที่สุดก่อน ขณะที่ซีเอฟโอมีสัดส่วนเห็นด้วยมากกว่าคือ 30%
การศึกษานี้ยังแสดงให้เห็นถึงความเห็นของผู้ตอบแบบสำรวจที่สอดคล้องกันในเรื่องการลงทุนด้านดิจิทัล โดยผู้บริหารมากกว่า 54% ลงทุนในด้านนี้อยู่ 61% ยอมรับว่าการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นจะช่วยลดต้นทุนในโมเดลการปฏิบัติงานลงได้กว่าครึ่ง 85% กล่าวว่าดิจิทัลเป็นตัวผลักดันให้องค์กรเติบโตในเชิงยุทธศาสตร์ และเกือบ 82% เห็นด้วยว่ายุทธศาสตร์ด้านดิจิทัลจะทำให้เกิดโมเดลปฏิบัติการใหม่ ๆ ขึ้นมา
“การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า กลยุทธ์ธุรกิจด้านดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บริษัทมีความคล่องตัวอย่างที่ควรจะเป็นและตอบสนองต่อตลาดได้ทันท่วงที อย่างไรก็ดี ผู้บริหารระดับสูงควรประสานกลยุทธ์ธุรกิจให้เข้ากับการบริหารต้นทุนเป็นอันดับแรก หากต้องการสร้างความก้าวหน้าอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร” นายนนทวัฒน์กล่าว “การจะทำให้ได้เช่นนั้น องค์กรต้องใช้ข้อมูล สร้างรายได้จากข้อมูลที่มีอยู่ สร้างคลังข้อมูลดิจิทัล จัดระบบให้มีความรวดเร็ว เร่งสร้างนวัตกรรม ปรับเนื้องานและความสามารถเดิม ๆ ให้เป็นดิจิทัลมากขึ้น”
นอกจากนี้ การศึกษายังพบอีกว่า องค์กรที่ตั้งใจนำกระบวนการประหยัดต้นทุนเข้าไปกลไกผลักดันการเติบโต และนำไปปฏิบัติได้ทั่วทั้งองค์กรนั้น ค่อนข้างเชื่อในเทคโนโลยี กลยุทธ์ทางดิจิทัล รวมทั้งธุรกิจดิจิทัล ต่างเป็นปัจจัยที่สร้างการเติบโต ในทำนองเดียวกัน บริษัทที่มีโมเดลการปฏิบัติการที่ยืดหยุ่นก็ยิ่งเชื่อว่าเทคโนโลยีกลยุทธ์ทางดิจิทัล และธุรกิจดิจิทัล เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการลดต้นทุน โมเดลการปฏิบัติการที่ทันสมัย และเสริมสร้างการเติบโตเชิงยุทธศาสตร์
ต่อไปนี้คือ ผลสำรวจที่แตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรม:
* ผู้นำที่มีแนวทางเหมาะสมจะช่วยให้องค์กรลดต้นทุนได้ตามเป้า: ผู้บริหารในธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์ (33%) และเครื่องมืออุตสาหกรรม (31%) ส่วนใหญ่เห็นด้วย
* การกำหนด และยกเลิกกิจกรรมธุรกิจรวมถึงการลงทุนที่ไม่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่องค์กร: ผู้บริหารส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ (35%) สินค้าอุปโภคบริโภค (33%) และยานยนต์ (30%) กล่าวถึงบ่อยครั้งว่า องค์กรของพวกเขาได้นำแนวทางนี้มาปฏิบัติ
* การจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรงบประมาณ เพื่อใช้จ่ายในกิจกรรมที่จะสร้างมูลค่าให้แก่องค์กร: ผู้บริหารในธุรกิจพลังงาน (46%) และสาธารณูปโภค (44%) ต่างนำแนวทางนี้ไปปฏิบัติ
* เก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลดต้นทุนได้: ขณะที่ 53% ของผู้บริหารธุรกิจเทคโนโลยีทางการแพทย์เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ธุรกิจของพวกเขาสามารถคงผลประโยชน์ที่ได้รับจากการลดต้นทุนไว้ได้ แต่ผู้บริหารธุรกิจเครื่องมืออุตสาหกรรม (27%) และการธนาคาร (28%) ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
* การให้ความสำคัญกับการนำเงินออมที่ได้จากการบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์ ไปลงทุนต่อ: ธุรกิจเคมีภัณฑ์ (65%) ยานยนต์ (64%) การดูแลรักษาสุขภาพ (64%) และสินค้าอุปโภคบริโภค (58%) เป็นธุรกิจที่นำเงินไปลงทุนต่อในดิจิทัลเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดี มี 63% ของธุรกิจเครื่องมืออุตสาหกรรมที่มุ่งลงทุนในช่วงเปิดตัวผลิตภัณฑ์และการบริการใหม่ ๆ ส่วน 60% ของธุรกิจค้าปลีกใช้เงินทุนไปกับการขยายกิจการให้ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์มากขึ้น
ข้อมูลเกี่ยวกับระเบียบวิธีวิจัย
เอคเซนเชอร์ทำแบบสำรวจออนไลน์กับกลุ่มผู้บริหารระดับสูง 682 คน จาก 13 อุตสาหกรรม ครอบคลุมอุตสาหกรรมยานยนต์ การธนาคาร เคมีภัณฑ์ สื่อสาร สินค้าอุปโภคบริโภค พลังงาน การดูแลรักษาสุขภาพ บริการต้อนรับ (hospitality) เครื่องมืออุตสาหกรรม เทคโนโลยีการแพทย์ เวชภัณฑ์ ค้าปลีก และสาธารณูปโภค โดย 54% ของผู้ตอบแบบสำรวจเป็นผู้บริหารระดับบน (ซีอีโอ ซีเอฟโอ หรือ ซีโอโอ) ที่เหลือเป็นข้อมูลจากการรายงานตรงของบริษัทต่าง ๆ ที่มีรายได้อย่างน้อย 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ผู้ตอบมาจากภูมิภาคที่หลากหลายแตกต่างกัน รวมทั้งอาเซียน (อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) บราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น อเมริกาเหนือ และสหราชอาณาจักร
อนึ่ง : เอคเซนเชอร์ เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ ให้คำปรึกษาทางธุรกิจ ดิจิทัล การบริหารเทคโนโลยีและการปฏิบัติการชั้นนำของโลก มีพนักงานประมาณ 373,000 คนในกว่า 120 ประเทศ เอคเซนเชอร์มุ่งพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยให้การใช้ชีวิตและการทำงานมีคุณภาพดีขึ้น ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.accenture.com