นายสุจินต์ พงษ์ศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลลิประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้รับความไว้วางใจจากกลุ่มฟิลลิปแคปปิตอล ประเทศสิงคโปร์ ให้เป็นผู้บริหารธุรกิจประกันชีวิต ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่กลุ่มฟิลลิปแคปปิตอล เข้าซื้อกิจการจากผู้ถือหุ้นเดิมในชื่อ บริษัท ฟินันซ่าประกันชีวิต จำกัด ตั้งแต่ปี 2556 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว แนวทางบริหารได้มุ่งเน้นการฟื้นฟูธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกัน ตัวแทนประกันชีวิต พนักงานบริษัท และคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ
ซึ่งกลุ่มฟิลลิปแคปปิตอล แสดงให้เห็นความตั้งใจจริงในการทำธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทย ด้วยการเสริมความมั่นคงทางการเงินของบริษัทอย่างต่อเนื่อง จากการเพิ่มทุนชำระแล้วหลังเข้าถือหุ้น จำนวน 1,534 ล้านบาท จากนั้นทยอยทุนต่อเนื่อง จากเดือนสิงหาคม 2556- มิถุนายน 2559 ซึ่งเพิ่มทุนอีก 400 ล้านบาท เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2559 รวมเป็นทุนทดทะเบียน 2,834 ล้านบาท
จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลาดังกล่าว และด้วยความพร้อมในทุกๆ ด้าน จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่จะเกษียณงานโดยที่ นายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ซึ่งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการร่วมตั้งแต่ต้น จะเข้ารับช่วงต่อดูแล การบริหารงานในภาพรวม นายปรัชญา จะดูแลในฐานะกรรมการผู้จัดการ ส่วนตนจะผันไปทำหน้าที่ของกรรมการในบอร์ดของบริษัท ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฏาคม 2559 เป็นต้นไป
สำหรับกรณีอัตราดอกเบี้ยต่ำ จะเกิดผลกระทบต่อบริษัทที่ต้องมีการตั้งเงินสำรองเพิ่มขึ้นนั้น เรื่องดังกล่าวทางภาครัฐมีความต้องการให้บริษัทประกันชีวิตแข็งแกร่งจึงตั้งเกณฑ์ไว้ค่อนข้างสูง ซึ่งกฎเกณฑ์บางอย่างอยู่นอกเหนือการควบคุมของบริษัท เช่นจะใช้ ซีโร่ คูปอง บอนด์ ของแบงก์ชาติพิจารณาถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทางราชการกำหนด แต่การที่อัตราดอกเบี้ยลงอย่างชัดเจนเช่นนี้ บริษัทไม่ได้ทำอะไร อยู่ๆ หนี้สินก็สูงขึ้น ผู้ถือหุ้นก็ต้องกัดฟันหน่อย ต่อเมื่อปีถัดมาดอกเบี้ยขึ้นเพียง 0.5% ก็จะมีผลตอบแทนกลับมาเป็นกำไร
ปัจจุบัน ฟิลลิปประกันชีวิต มียอดขาดทุนสะสมมีอยู่ 1,600 ล้านบาท หวังว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะดำเนินการล้างขาดทุนให้หมด และมีกำไรตามขั้นตอนของกฎเกณฑ์ ก่อนที่จะแต่งตัวเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินงานภายใน 10 ปี (2557-2567) แต่หากระบบบัญชียังไม่พร้อม สามารถยืดระยะเวลาออกไปได้อีก 5 ปี
ด้านนายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยถึง ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2559 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นในทุกด้าน โดยมีเบี้ยธุรกิจรายใหม่จำนวน 80 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 70 % และปีต่อไปจำนวน 247 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 % ส่วนเบี้ยรวมมีจำนวน 326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14 % โดยมีช่องทางตัวแทนเป็นช่องทางหลักในการขยายธุรกิจ
สำหรับปี 2559 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันรวม 900 ล้านบาท โดยเป็นธุรกิจรายใหม่จำนวน 250 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 87% ด้วยกลยุทธ์การขยายธุรกิจใน 4 ช่องทางหลัก ได้แก่ ช่องทางแรกเป็นส่วนของตัวแทนที่มีเป้าหมายของการเพิ่มจำนวนตัวแทนใหม่ให้มากขึ้นทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด โดยช่องทางตัวแทนนี้ยังคงเป็นช่องทางหลักของบริษัท ที่มีสัดส่วนถึง 90% ปัจจุบันมีตัวแทนประมาณ 1,900 คน แนวโน้มจำนวนตัวแทนที่ไม่มีคุณภาพลดลง ขณะที่ตัวแทนที่มีคุณภาพเพิ่มมากขึ้นซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีของบริษัทฯ
ช่องทางที่ 2 จะเป็นการขายผ่านองค์กรในรูปแบบของ B2B (Business to Business) ช่องทางธุรกิจต่อธุรกิจ ซึ่งในปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจร่วมธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบริษัทโบรกเกอร์ต่างๆ ซึ่งธุรกิจที่ได้จากช่องทางนี้จะมีทั้งรายสามัญของสัญญาตะกาฟุล และธุรกิจประกันกลุ่มต่างๆ
สำหรับช่องทางที่ 3 จะเป็นช่องทางขายตรงถึงลูกค้าด้วย Telesales และการตลาดบน Online ซึ่งได้เริ่มเปิดตัวในปี 58 ที่ผ่านมาและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงจากยอดเบี้ยประกัน และช่องทางสุดท้าย คือ ที่ปรึกษาทางการเงินหรือ Financial Advisor ซึ่งจะเป็นทีมขายที่ให้บริการด้านการเงินอย่างครบวงจรทั้งประกันชีวิตและการลงทุน ซึ่ง FA นี้จะมีใบอนุญาตตัวแทนและผู้แนะนำการลงทุน โดยการแนะนำด้านการลงทุนก็จะใช้บริการผ่านทางบริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป
สำหรับการขายในช่องทาง Online หลังจากที่บริษัทได้เปิดตลาดมาครบ 1 ปี ในเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งมียอดขาย 30 ล้านบาท จากผลการตอบรับที่ดีของตลาดบริษัทฯ จึงมีความมั่นใจที่จะก้าวสู่การเป็น Digital Insurer ด้วยรูปแบบการขายพร้อมการชำระเบี้ยประกันบนระบบ Online ซึ่งจะเป็นการตอบสนองตลาดคนรุ่นใหม่ที่ต้องการศึกษาข้อมูลของสินค้าด้วยตนเองจากแหล่งต่างๆ บน Internet ในการเปรียบเทียบก่อนการตัดสินใจซื้อ
ในการสนองตอบถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่นี้บริษัทฯ จะนำเสนอข้อมูลรายละเอียดของแบบประกันบนหน้า Website ของบริษัทฯ ร่วมกับการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย Social media ต่างๆ รวมทั้งการสร้างระบบ Franchise ที่ตัวแทนจะสามารถแนะนำสินค้าบนหน้า Website ของตัวเองเป็นหน้าร้าน Online ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงให้ผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาข้อมูลเพื่อเลือกซื้อแบบประกันที่เหมาะสมกับตัวเอง โดยบริษัทฯ จะสร้างตัวแทน Online อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
การพัฒนาสินค้าและช่องทางขายที่ความหลากหลาย จะเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างการเติบโตของบริษัทฯ อย่างรวดเร็วใน 2 – 3 ปี ข้างหน้า ล่าสุด กลุ่มฟิลลิปแคปปิตอล ยังประสานความร่วมมือให้เข้าไปช่วยเจรจาขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิต ประเทศกัมพูชา โดยมีประเทศไทยเป็นเสาหลักทางด้านประกันชีวิต แนวโน้มก็จะเติบโตต่อไปในภูมิภาคและขยายต่อไปในเครือข่ายที่กลุ่มฟิลลิปมีเน็ตเวิร์คอยู่