14 มิถุนายน 2559 : บล.เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด ชี้ ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้เจอแรงกันดันจากปัจจัยต่างประเทศอย่างมาก ทั้งเรื่องการประชุมธนาคารกลางของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเรื่องผลประชามติ BRExit ผลักดันนักลงทุนแห่ย้ายเงินลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย แนะชะลอการลงทุนหรือเก็งกำไรในช่วงสั้นๆ มองหุ้นน่าสนใจ BANPU , SUSCO , ECF และหุ้นปันผลสูงอย่าง CFRESH และ DIF
นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในตอนนี้กำลังจับตามองตลาดเหตุการณ์สำคัญไม่ว่าจะเป็นการประชุมของธนาคารกลาง 3 แห่ง ทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อังกฤษ ซึ่งโอกาสในการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในการประชุมสัปดาห์นี้มีค่อนข้างน้อย ด้วยปัจจัยต่างประเทศไม่เอื้อแต่ของญี่ปุ่นนั้น อาจมีการพิจารณาเพิ่งวงเงิน QE เพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินเยน
และเรื่องการลงประชามติของคนอังกฤษในเรื่องที่จะออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU) ในสัปดาห์ถัดไป โดยล่าสุดสำรวจที่ Bloomberg รวบรวมมามีผู้ต้องการออกจากอียูขยับขึ้นไปเป็น 53% แล้วและมีผู้อยู่ต่อ 47% ซึ่งความไม่แน่นอนในเรื่องเหล่านี้ จะทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุน หรือโยกเงินเข้าหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเช่นเดียวกับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคาดว่าทิศทางตลาดหุ้นจะมีความชัดเจนขึ้น ในช่วงปลายสัปดาห์นี้หลังเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้บางเรื่องผ่านไปแล้ว โดยเราประเมินกรอบดัชนีฯสัปดาห์นี้ ไว้ที่ 1,420 – 1,451 จุด
ทั้งนี้ปัจจัยที่จะเป็นตัวแปรที่มีความเข้มข้นมาก เข้ามาในตลาด คือการลงประชามติของประชาชนอังกฤษเพื่อตัดสินใจว่าจะให้อังกฤษเป็นสมาชิกกลุ่มอียูต่อไปหรือไม่ ที่จะเกิดขึ้น 23 มิ.ย.นี้ คะแนนที่ใกล้เคียงกันระหว่างผู้ต้องการออกกับผู้ต้องการอยู่ในอียูต่อ จึงประเมินว่าเวลานี้นักลงทุนไม่รู้ว่าโอกาสจะไปอยู่ในฝั่งไหน จึงเกิดความกังวลและกระทำในสิ่งที่ปลอดภัยไว้ก่อน คือ โยกเงินและเก็งกำไรสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง คือ เงินดอลล่าร์ ทองคำ และพันธบัตร โดยได้แรงหนุนส่วนหนึ่งมาจาก เงินทุนที่กำลังท่วมตลาดว่าต้องหาที่พักเงิน
โดยจากปัจจัยเหล่านี้ทำให้ตลาดพันธบัตรของไทยได้อานิสงค์ คือ มีการซื้อพันธบัตรของนักลงทุนต่างประเทศ 7 วันติดต่อกันด้วยการเข้าซื้อสุทธิ (net buy) ถึง 6.3 หมื่นล้านบาท แต่กลับมียอดซื้อสุทธิเพียง 1.0 หมื่นล้านบาทในตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาเดียวกัน เป็นการบ่งชี้ว่าตลาดหุ้นไทย แทบไม่ได้ประโยชน์จากเงินทุนไหลเช้าในช่วงนี้เลย ดังนั้นเราจึงคาดว่าภาพของตลาดแบบนี้จะยังคงข้ามมาถึงสัปดาห์นี้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่ต้องติดตามคือการที่ MSCI จะมีการเปิดผลการจัดกลุ่มหุ้น A-Shares ของจีนในการคำนวณดัชนี MSCI เช้า 15 มิ.ย.นี้ หากมีการบรรจุหุ้นของจีนเข้ามาในดัชนีฯอย่างเป็นจะส่งผลให้หุ้นจีนมีความต้องการในตลาดมากขึ้น อาจดึงเงินลงทุนจากประเทศต่างๆไป เราว่ามองเป็นปัจจัยเสี่ยงของเงินลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทยน้อยลงในอนาคต
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้นเนื่องจากทิศทางตลาดหุ้นที่ถูกกดจากปัจจัยเสี่ยงในต่างประเทศ จะทำให้มีแรงขายทำกำไรเข้ามาในตลาด ในภาพรวมๆ เราแนะนำให้ชะลอการลงทุน หรือเก็งกำไรช่วงสั้นๆ (ซื้อบ่าย ขายเช้า) ในหุ้นที่ข่าวบวกและเก็งผลประกอบการไตรมาสที่สองโดยหุ้นที่เราคาดว่า นักลงทุนจะให้ความสนใจสำหรับการเก็งกำไรช่วงสั้นๆได้แก่ BANPU , BCH
นายอำนาจ โงสว่าง ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ ปัจจัยพื้นฐาน บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หุ้นที่ บล.เคทีบีให้ความสนใจคือหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างหลังจากรัฐบาลกำลังพิจารณานำโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ – ระยอง และ กรุงเทพ – หัวหิน เข้าโครงการ Fast Track และคาดจะเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้า 3 สายคือ สายสีเหลือง, สายสีชมพู,และ สายสีส้ม ได้ในช่วงปลายเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งมองว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มก่อสร้างได้
ขณะที่กลุ่มที่ราคาเริ่มฟื้น ได้แก่ BANPU หลังราคาถ่านหินขยับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันและหุ้น SUSCO จากการที่ผลกำไรไตรมาสที่ 1 ออกมาค่อนข้างดี และมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปไปขายยังประเทศเพื่อนบ้านส่งผลให้ปริมาณขายสูงขึ้นอย่างมาก กลุ่มที่กำไรมีการเติบโต คือหุ้น ECF กำไรไตรมาส 1 โต 35% จากรายได้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์มากขึ้นและมีรายได้อื่นเข้ามาเสริม คือโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น (1.5 MW) และร้านค้าปลีกภายใต้ชื่อ “Can Do” และกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนด้านเงินปันผลที่สูงกว่า 6% ไม่มีความเสี่ยงมาก คือ CFRESH และ DIF