20 ธันวาคม 2561 : นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK เปิดเผยว่า สายงานธุรกิจ Private Banking ยังคงตั้งเป้าหมายสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ยต่อปีที่ 6-8% แม้ว่าช่วงปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนจะติดลบอยู่บ้าง ทั้งนี้ ในช่วงปี 2562 ธนาคารเตรียมผลิตภัณฑ์และบริการที่จะสร้างความมั่นใจ และสบายใจให้กับลูกค้าในภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนในหลายด้านในการลงทุน
พร้อมให้คำแนะนำและผลิตภัณฑ์เพื่อเตรียมความพร้อมให้ลูกค้าก้าวสู่ปีที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ระยะท้ายของวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างมั่นใจ โดยเตรียมพัฒนา Global Investment platform เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับการดำเนินงานธุรกิจ Private Banking ของธนาคารในปี 2561 ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ตลาดการลงทุนจะมีความท้าทายเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เห็นได้จากการเติบโตของจำนวนลูกค้าและสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) โดยมีจำนวนลูกค้า 1,1000 ราย ขณะที่ทรัพย์สินภายใต้การจัดการทั้งหมดประมาณ 750,000 ล้านบาท โดยจำนวนลูกค้าเติบโตขึ้น 8% และ AUM เติบโต 0.2 % เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา
ส่วนปี 2562 ธนาคารยังคงเดินหน้าผลักดัน AUM ให้เตืบโตต่อเนื่องแม้ว่าจะเกิดความท้าทายด้านปัจจัยลบเข้ามากระทบอีกมาในปีหน้าก็ตาม
“ตลอดปี 2561 Kbank Private Banking ไม่หยุดจะพัฒนาบริการคำแนะนำผลิตภัณฑ์และบริการในทุกมิติ อาทิ ผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับลูกค้า โดยปีนี้ได้นำเสนอกองทุนใหม่ ล้วนเป็นกองทุนที่ลงทุนในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เน้นการกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการความผันผวนอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า เช่น กองทุน K-EUSMALL กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กของยุโรป (ไม่รวมสหราชอาณาจักร)
และกองทุน K-CCTV กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นจีน A-Shares เน้นหุ้นจีนศักยภาพดีและมีแนวโน้มเติบโตสูง พร้อมใช้กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมความผันผวน นอกจากนี้ ยังมีการออมผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบการคุ้มครองเงินต้นเพื่อให้ลูกค้าคลายความกังวลจากตลาดที่คาดเดาได้ยากในช่วงที่ผ่านมา” นายจิรวัฒน์ กล่าว
นายจิรวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริการ Private Banking สำหรับลูกค้าจีนและลูกค้าที่สื่อสารด้วยภาษาจีนเป็นหลักที่อาศัยอยู่ในเมืองไทย ซึ่งเป็นปีแรกที่ธนาคารเริ่มรุกบริการ Private Banking ลูกค้าจีนอย่างจริงจังเพื่อรองรับลูกค้าชาวจีนที่อาศัยอยู่ในไทย 10 ล้านราย โดยสร้างความเติบโตของจำนวนลูกค้ากว่า 164% AUM เติบโต 74% คิดเป็นเม็ดเงิน500 ล้านบาท และรายได้เติบโต 56 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ธนาคารมีบริการที่ปรึกษาด้านบริหารสินทรัพย์ครอบครัว ดำเนินการให้ความรู้คำปรึกษาช่วยวางแผน และดำเนินการตามความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยขยายขอบเขตจากลูกค้าในกรุงเทพ ครอบคลุมลูกค้าในภูมิภาค 7 จังหวัดสำคัญทั่วประเทศ ให้บริการลูกค้าได้ประมาณ 550 ราย โดยมีการให้คำแนะนำในเรื่องของการจัดการทรัพย์สินในครอบครัวในแง่มุมต่างๆที่ลูกค้ามีความกังวล ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำธรรมนูญครอบครัว การวางแผนโครงสร้างการถือครองทรัพย์สินที่มีประสิทธิภาพ การวางแผนภาษี การวางแผนการส่งต่อทรัพย์สินเป็นต้น
นายจิรวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับปี 2562 ธนาคารเตรียมโซลูชั่นเพื่อรองรับกฎหมายใหม่ที่กำลังจะออกเพื่อช่วยลูกค้าเตรียมพร้อม และมีแผนการบริหารจัดการและรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาษีที่ดินที่จะบังคับใช้ในปี 2563 และกฎหมายทรัสต์ เป็นต้น นอกจากนี้ ธนาคารจะขยายขอบเขตการให้บริการ ด้านการให้คำปรึกษาการบริหารทรัพย์สินครอบครัวสู่ลูกค้าในต่างจังหวัดมากขึ้นด้วย และเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการต่างๆที่ธนาคารพัฒนาขึ้นมาได้อย่างสะดวก ธนาคารมีแผนการพัฒนาช่องทางดิจิทัล ซึ่งต่อยอดจากระบบ Core Banking ระดับโลกที่ธนาคารได้เริ่มทำงานแล้วในปีที่ผ่านมา
ส่วนแนวทางการลงทุนที่ธนาคาร พอจะแนะนำลูกค้าในปี 2562 จะแบ่งลูกค้าเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก ลูกค้าที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อภาวะตลาดระยะสั้น ธนาคารจะแนะนำให้สำรองสภาพคล่องปรับลดความเสี่ยงการลงทุนให้น้อยลงให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงในหลายๆสินทรัพย์ โดยจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีในตลาด เพราะที่ผ่านมาตลาดมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2562 ถือเป็นปีที่ควรเตรียมความพร้อม
สำหรับช่วงที่เศรษฐกิจจะขยายตัวช้าลง ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม คือ พันธบัตรระยะยาวทั่วโลก และหุ้นกู้แปลงสภาพ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในบางภูมิภาคยังน่าลงทุนอยู่กลยุทธ์ที่เหมาะสมไม่ใช่การลงทุนตรงๆ ตามทิศทางตลาดเช่นในอดีต กลยุทธ์ใหม่ที่จะตอบโจทย์ ได้แก่ การใช้ข้อมูล เทคโนโลยี และความสามารถของทีมจัดการกองทุน ในกลยุทธ์ Long /Short (ซื้อและขายสินทรัพย์พร้อมกัน โดยซื้อกลุ่มสินทรัพย์ที่คาดว่าผลตอบแทนดีกว่าอีกกลุ่มสินทรัพย์หนึ่งทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง) หรือสร้างกลไกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการควบคุมความเสี่ยง
ขณะที่ ลูกค้ากลุ่มที่ 2 ที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงของตลาดระยะสั้นได้ ธนาคารยังแนะนำให้ลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารแนะนำมาโดยตลอดอย่าง Global Multi Asset ที่จะหาผลิตภัณฑ์มาเพิ่มเติม การตั้งกองทุนที่ลงทุนในกลุ่มหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาครบกำหนดใกล้เคียงกัน และพอคาดการณ์ผลตอบแทนได้ กองทุน Private equity ที่ลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพสูงนอกตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก และการลงทุนที่สอดคล้องไปกับทีมการเปลี่ยนแปลงของโลกในระยะยาว เช่น AI, Next Gen Tech และ Smart City ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเน้นปรัชญาการลงทุน Stay Invested มากกว่าการจับจังหวะการลงทุน