5 พฤศจิกายน 2561 : ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (5-9 พ.ย.) ว่า ตลาดให้ความสนใจต่อการเจรจาการค้ารอบใหม่ของสหรัฐฯ-จีน ถือเป็นปัจจัยหนุนตลาดในช่วงสั้นๆ แม้จะมีข่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯปฎิเสธเรื่องการเตรียมทำข้อตกลงการค้ากับจีน
แต่คาดว่ายังมีแนวโน้มที่จะนำเสนอต่อผู้นำจีน เพื่อทำข้อตกลงในลักษณะเดียวกันกับที่ทำกับเม็กซิโกและแคนาดา (USMCA) ในช่วงปลายเดือนพ.ย. (30 พ.ย.-1 ธ.ค.) นับเป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯพยายามที่จะต่อรองครั้งสุดท้าย ก่อนประกาศใช้มาตรการภาษีกับจีนจำนวน 2.5 แสนล้านเหรียญฯ หากเจรจาล้มเหลว
ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องติดตามคือการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจประเทศต่างๆ ที่มีการอ้างอิงผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะสหรัฐฯ จะมีการรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิตของสหรัฐฯในวันที่ 9 พ.ย. ตัวเลขนี้เป็นที่จับตาดูเพราะในเดือนที่ผ่านมาดัชนี Dow Jones ปรับตัวร่วงลงแรงเพราะตัวเลขนี้ลดลง รวมไปถึงตัวเลขการส่งออกของจีนที่จะรายงานออกมาในวันที่ 8 พ.ย. หากออกมาดีจะเป็นบวก และการรายงานตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยในวันที่ 5 พ.ย. ที่ชะลอตัวลงในเดือนก่อน
ส่วนการประชุม FOMC ของสหรัฐฯ ในวันที่ 9 พ.ย. ไม่น่ามีผลต่อตลาดเพราะ Fed ได้กล่าวนำไว้ก่อนแล้วว่า จะขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเดือน ธ.ค. ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Bond Yield) ปรับตัวขึ้น
ส่วนปัจจัยในประเทศ เรื่องของการเลือกตั้งและการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นตัวแปรหลักของไทย ทำให้นักลงทุนมั่นใจมากขึ้น โดยที่การประมูลโครงการคมนาคม และการอัดฉีดเงินเข้าระบบเป็นบวกต่อกลุ่มรากหญ้าผ่านโครงการประชารัฐฯ รวมถึงสนับสนุนการลงทุนในเขตเศรษฐกิจอีอีซี ซึ่งเป็นบวกต่อทั้งตลาดและมีผลบวกต่อกลุ่มนิคมฯ , รับเหมาฯ และค้าปลีก เป็นต้น
สำหรับกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ประเมินกรอบดัชนีฯ เคลื่อนไหวที่ระดับ 1,650-1,730 จุด โดยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปแตะระดับ 1,700 จุด ในช่วงสั้นๆ จากปัจจัยบวกคือการที่สหรัฐฯเตรียมเจรจารอบใหม่กับจีนปลายเดือนนี้ รวมถึงทิศทางการเมืองของไทยที่ส่งผลบวกให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและการเข้ามาเก็งกำไรก่อนประกาศงบไตรมาส 3 ช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย
ดังนั้นการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ จะมีความผันผวนไปตามข่าวรายวัน โดยเฉพาะประเด็นข่าวการค้าสหรัฐฯ-จีน และผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ทำให้อาจเกิดมีแรงขายทำกำไรเข้ามาในช่วงสั้นในหุ้นกลุ่มที่ยังไม่มั่นใจในทิศทางตลาดหุ้น
อย่างไรก็ตามแม้ในช่วงสั้นจะมีความผันผวนแต่ด้วยปัจจัยในประเทศที่กลับมาหนุนตลาด จึงเป็นจังหวะในการเข้าซื้อหุ้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแรงมากกว่าตัวอื่นหรือหุ้นที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางตลาด ได้แก่ PTTGC, BDMS, CPN รวมไปถึงหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากเรื่องการเลือกตั้งได้แก่ CK , CPALL , CENTEL ขณะที่กลุ่มที่คาดว่างบไตรมาส 3 จะออกมาดีได้แก่ TPIPP, GUNKUL , UTP และกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงเช่น KKP และ QH