เมื่อภาพเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนไปไม่ได้ดังฝัน การแสวงหารายได้จากการลงทุนในรูปแบบต่างๆจำเป็นต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการลงทุนผ่านสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตราสารทุน ที่จะไม่เหมือนเดิม เพราะปัจจัยลบทั้งในประเทศและนอกประเทศเข้ามากระทบตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อลดความเสี่ยงและคงอัตราการสร้างผลตอบแทนให้อยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง การปรับกลยุทธ์การลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของไทย มองภาพการลงทุนของนักลงทุนช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ไว้ว่า ความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมุมมองผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยไม่เกิน 1-2 ครั้งในปีนี้ และคาดว่าน่าจะชะลอไปปรับดอกเบี้ยช่วงปลายปีในขณะที่ภูมิภาคยุโรปและญี่ปุ่นยังคงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน QE เพิ่มเติม รวมถึงอัตราดอกเบี้ยไทยที่ยังมีแนวโน้มคงที่อยู่ในระดับ 1.50% ต่อปี และคาดว่าจะทรงตัวอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์และ REITs ของนักลงทุนสถาบันมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีผลตอบแทนที่ดีในขณะที่มีความผันผวนโดยรวมค่อนข้างต่ำ หากเทียบอัตราเงินปันผล (ต่อปี) ของแต่ละสินทรัพย์จะพบว่าอัตราเงินปันผลของ REITs สิงคโปร์อยู่ประมาณ 6.4% กองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยอยู่ที่ 6.1% หุ้นไทย 3.6% พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี 2.6% และเงินฝากประจำ 1 ปี 1.5%
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุน REITs รวมถึงกองทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวน และยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากลงทุนให้กับนักลงทุนอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่องด้วยเช่นกัน นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์กองทุนประจำประเทศไทย บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า แนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ลงทุนในกองทุนอสังหาฯด้วยกัน ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน เพราะกองทุนดังกล่าว สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงที่ดัชนีมีความไม่แน่นอน จากปัจจัยบวกและปัจจัยลบเข้ามากระทบ
กองทุนฯเหล่านี้ นอกจากให้ผลตอบแทนจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นแล้วยังมีเงินปันผลในระดับที่สูงด้วยเช่นกัน ที่สำคัญกองทุนนี้จะเลือกลงทุนในกองทุนอสังหาฯที่มีการจ่ายเงินปันผลดีเข้ามาในพอร์ตลงทุน ทำให้การสร้างผลตอบแทนในกองทุนฯดังกล่าวเติบโตต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อเสียในกองทุนฯนี้ หากตลาดหุ้นกลับมาโดดเด่น กองทุนนี้จะถูกลดบทบาทลงทันที ดังนั้น ในส่วนของนักลงทุน แนะว่า กองทุนอสังหาฯประเภทฟันด์ออฟฟันด์ เป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างผลตอบแทนช่วงตลาดหุ้นผันผวน
นายกิตติคุณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ช่วงไตรมาส 1/59 ที่ผ่านมากองทุนอสังหาริมทรัพย์ ประเภทฟันด์ออฟฟันด์ ทำผลตอบดีที่สุด 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรม ประกอบด้วย อันดับ 1 กองทุนเปิดธนชาตพร็อพเพอร์ตี้เซ็คเตอร์ฟันด์ ผลตอบแทนเติบโตที่ 17.05% อันดับ 2 กองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ ผลตอบแทน 16.63% อันดับ 3 กองทุนเปิด แอล เอช ไทย พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ ผลตอบแทน 15.13% อันดับ 4 กองทุนเปิด แอล เอช พร็อพเพอร์ตี้ พลัส I ผลตอบแทน 14.96% และอันดับที่ 5 กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ ผลตอบแทน 14.78%
ส่วน 5 อันดับกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่กองทุนลงทุนมากที่สุด คือ กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) อัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 4.87% กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซี.พี.ทาวเวอร์ โกรท (CPTGF) อัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 4.94% กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท (TLGF) อัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 4.59% กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์สนามบินสมุย (SPF) อัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 5.11% และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ฟิวเจอร์พาร์ค(FUTUREPF) อัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ 4.8%
กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ประเภทฟันด์ออฟฟันด์ ทำผลตอบดีที่สุด 5 อันดับแรกของอุตสาหกรรม
ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกองทุนรวมอย่าง นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด กล่าวไว้ว่า เนื่องจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและถือเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต อาทิ ระบบไฟฟ้าประปา ก๊าซธรรมชาติ ระบบขนส่งมวลชน และระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ยังคงสามารถสร้างรายได้และทำกำไรได้แม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือในช่วงภาวะอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ เพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการใช้สินค้าและบริการที่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีความผันผวนต่อภาวะเศรษฐกิจน้อยกว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ
“ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยในช่วงระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา พบว่ามูลค่าตลาดของหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกมีอัตราการเติบโตสูงกว่า 250% ขณะที่หุ้นทั่วโลกมีอัตราการเติบโตของมูลค่าตลาดเพียง 95% และยังให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 4 พฤษภาคม 2559 ดัชนีหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลกสามารถให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี สูงถึง 46% ขณะที่ดัชนีหุ้นทั่วโลกให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 27% ในช่วงเดียวกัน
นอกจากนี้บริษัทที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่จะมีการทำสัญญาระยะยาวกับภาคเอกชนหรือรัฐบาล ส่งผลให้บริษัทมีรายได้ค่อนข้างแน่นอนและทำให้หุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีโอกาสจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอและยังจ่ายในอัตราที่สูงกว่าหุ้นโดยทั่วไปด้วย” นายวศิน กล่าวไว้