3 ตุลาคม 2561 : นายปรัชญา กุลวณิชพิสิฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิลลิปประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าผลสำรวจจาก Manpower Group พบว่ากลุ่มคนวัยทำงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่า 48% ตระหนักว่าการจัดรูปแบบสถานที่ทำงานให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ มีผลต่อศักยภาพในการทำงานและคุณภาพของผลงานที่สูงขึ้น
บริษัทฯ จึงได้นำแนวคิด Workplace Strategy มาออกแบบสถานที่ทำงานในรูปแบบใหม่ ณ สาขาไอทีเอฟ สีลม บนพื้นที่ใช้สอย 1,600 ตารางเมตร ใจกลางย่านธุรกิจ โดยจัดสรรพื้นที่การทำงานแบบมีส่วนร่วม (Collaboration)ให้มีพื้นที่เปิดโล่ง (Open Space) เลือกใช้โต๊ะทำงานที่มีขนาดใหญ่สามารถใช้งานร่วมกันได้ และห้องประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเป็นส่วนตัวสร้างบรรยากาศกับการตกแต่งสไตล์ลอฟท์
เน้นโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม ภายในเป็นหลัก เช่น คาน เสา และเหล็กโผล่ ให้ความรู้สึกเรียบง่าย เป็นกันเอง รวมถึงเทคโนโลยีอันทันสมัยในการอำนวยความสะดวกให้กับตัวแทน และผู้ถือกรมธรรม์ ภายในปี 2561ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการขยายสาขาคือสาขานนทบุรี สาขาอุบลราชธานี และสาขาหนองคาย เพื่อรองรับการขยายงานในอนาคต
โดยปัจจุบันมีตัวแทนทั้งสิ้น 2,910 คน ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา จึงทำให้บริษัทฯ มุ่งเน้นการพัฒนาตัวแทนมืออาชีพ (Smart Career Agent) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาหลักสูตร เพื่อยกระดับสู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) ให้เป็นนักวางแผนทางการเงิน และการลงทุนให้กับลูกค้าได้อย่างครบวงจร
ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ตัวแทน ผู้ถือกรมธรรม์ให้เข้าถึงการบริการได้ดียิ่งขึ้น และง่ายต่อการใช้งาน อาทิ แอปพลิเคชัน iFAME อำนวยความสะดวกแก่ตัวแทน และแอปพลิเคชัน PhillipLife สำหรับลูกค้าและบุคคลทั่วไป
นายปรัชญา กล่าวเพิ่มเติมว่าผลการดำเนินงานตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนสิงหาคม 2561 โดยมีเบี้ยฯประกันภัยรับปีแรกจำนวน 294 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 36 สำหรับเบี้ยฯประกันภัยรับปีต่อไปนั้น บริษัทฯ ได้รับจำนวน 504 ล้านบาท คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของเบี้ยฯ ประเภทสามัญร้อยละ 89
ส่งผลให้ขณะนี้ บริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 798 ล้านบาท สูงกว่าอัตราการเติบโตของปีที่ผ่านมาร้อยละ 20 ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของทั้งธุรกิจฯ สำหรับเป้าหมายผลผลิตตลอดปี 2561 นี้ บริษัทฯกำหนดเบี้ยประกันภัยปีแรกจำนวน 666 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 107 เบี้ยประกันภัยปีต่อไปจำนวน 834 ล้านบาท คิดเป็นอัตราความคงอยู่ของเบี้ยฯสามัญร้อยละ 85 และเบี้ยประกันภัยรับรวมจำนวน 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 37
นอกจากนั้นเบี้ยสามัญรายใหม่ต่อกรมธรรม์ (Case size) ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 32,938 บาท เป็น 48,030 บาท ณ ปัจจุบัน โดยคาดว่า Case size ณ สิ้นปี 2561 จะปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 จากที่ผ่านมา จากการเติบโตในระดับสูงดังกล่าว แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในทุกๆด้านของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพตัวแทน ด้านเทคโนโลยี ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการตลาด ช่องทางการจัดจำหน่าย และอื่นๆที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าและผู้เอาประกันภัยได้อย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในช่วงโค้งสุดท้ายของ ปี 2561 อาทิแบบ โปร เซฟวิ่ง 15/6 ประกันภัยแบบสะสมทรัพย์ เน้นการวางแผนความมั่นคงทางการเงิน ด้วยการชำระเบี้ยฯ เพียง 6 ปี คุ้มครองถึง 15 ปี โดยไม่ต้องตรวจสุขภาพ เมื่อครบสัญญาได้รับผลตอบแทนสูงสุดถึง 720% ของทุนประกันภัย และแบบพรีเมี่ยม รีเทิร์น 25/15 ชนิดไม่มีเงินปันผล
สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนมรดกให้ลูกหลาน ซึ่งชำระเบี้ยฯ 15 ปี ให้ความคุ้มครอง 25 ปี เมื่อครบสัญญาจะได้รับผลตอบแทน 110 % ของเบี้ยประกันภัยที่ได้รับชำระมาแล้วทั้งหมด
อีกทั้ง บริษัทฯ ได้รับอนุมัติใบอนุญาตประกอบธุรกิจ LBDU และได้จัดตั้งบริษัท GI Broker ขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อม ในการให้บริการด้านการลงทุน และความคุ้มครองภัยได้ครบวงจร
นอกจากนั้น จากผลความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจประกันชีวิต ในประเทศไทยที่ผ่านมาได้ทำให้บริษัท ฟิลลิปประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ในประเทศกัมพูชา ที่ดำเนินงานภายใต้กลุ่มฟิลลิปแคปปิตอล ประเทศสิงคโปร์
โดยได้รับอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันชีวิตอย่างเป็นทางการ เมื่อ 29 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ได้นำแนวทางการดำเนินธุรกิจจากประเทศไทยมาปรับใช้ ด้วยการบูรณาการทรัพยากรร่วมกัน จึงมีความมั่นใจในศักยภาพว่าการดำเนินธุรกิจประกันชีวิตในกัมพูชาจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับฟิลลิปประกันชีวิตในประเทศไทย