25 กันยายน 2561 : ชาริตา ลีลายุทธ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยสมายล์ เปิดเผยว่า ขณะนี้สายการบินไทยสมายล์เปิดให้บริการชำระค่าตั๋วเครื่องบินไทยสมายล์ด้วยคิวอาร์โค้ด (QR Code) ผ่านแอพพลิเคชั่น K-PLUS และโมบายแบงกิ้งของทุกธนาคารแล้ว ซึ่งลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ (Smile Service Center) 13 จุดทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ สำนักงานใหญ่ ถ.วิภาวดี, สนามบินสุวรรณภูมิ,
ศูนย์บริการลูกค้าไทยสมายล์ ณ เชียงราย, เชียงใหม่, อุบลราชธานี, ขอนแก่น, อุดรธานี, ภูเก็ต หาดใหญ่, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, นราธิวาส และPLAI (รัฐสภา) ซึ่งเหตุผลของการขยายช่องทางการให้บริการชำระเงินมากขึ้น โดยเฉพาะรูปแบบดิจิทัลนั้น นอกจากจะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนประเทศไทย 4.0 ที่รัฐบาลพยายามขับเคลื่อนแล้ว การเข้าสู่กระแสสังคมไร้เงินสด (Cashless) เริ่มมีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์ของทุกคนมากขึ้น ไทยสมายล์จึงต้องเดินหน้านโยบายการเงินดิจิทัลให้เท่าทัน เพื่อตอบสนองความหลากหลายและสร้างความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าคนสำคัญ
“โลกเปลี่ยนแล้ว เราจะอยู่นิ่งไม่ได้ เราต้องก้าวทันตามความต้องการของลูกค้า ต้องปรับเปลี่ยนได้เร็ว ซึ่งการให้บริการชำระด้วยคิวอาร์โค้ดเหมาะกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของลูกค้าในยุคนี้อย่างมาก เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง สะดวกสบายและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับลูกค้าที่มีความกังวลและไม่ชอบการใช้ก่อนจ่ายทีหลังด้วยบัตรเครดิต
ซึ่งหลังจากที่ทดสอบระบบให้ลูกค้าใช้บริการจ่ายด้วยคิวอาร์โค้ดตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็ได้รับผลตอบรับที่ดี ลูกค้าเปลี่ยนใจจากการชำระด้วยเงินสดมาใช้วิธีใหม่นี้มากขึ้น และมองว่าช่องทางนี้นอกจากจะช่วยตอกย้ำการสร้างสังคมไร้เงินสด ทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบายแล้ว ยังทำให้ระบบการจัดการการเงินและบัญชีขององค์กรมีความคล่องตัว มีความรวดเร็วในการทำงาน ซึ่งในอนาคตวางแผนที่จะนำคิวอาร์โค้ดมาปรับใช้กับทุกๆ ระบบการทำงานภายในองค์กรอีกด้วย”
รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินไทยสมายล์ กล่าวต่อว่า ไม่เพียงแต่การนำคิวอาร์โค้ดมาใช้เท่านั้น แต่ยังมองลึกไปถึงความต้องการของลูกค้ากลุ่มองค์กร (Corporate Customer) และกลุ่มลูกค้าธุรกิจ ซึ่งแม้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 20-30 % แต่ไทยสมายล์ก็เล็งเห็นถึงความจำเป็นของลูกค้ากลุ่มนี้ที่ต้องนำใบเสร็จรับเงินไปใช้อ้างอิง จึงเปิดให้บริการ e-Receipt ซึ่งลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลส่วนตัวประกอบกับข้อมูลการเดินทางกับไทยสมายล์ผ่านเว็บไซต์ www.thaismileair.com
โดยใช้ระยะเวลาดำเนินการเพียง 2-3 นาทีเท่านั้นก็จะได้ใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเซฟเก็บลงในมือถือหรือคอมพิวเตอร์ หรือปริ้นท์ออกมาเพื่อนำไปใช้งานได้ทันที นับเป็นโปรแกรมการให้บริการที่ได้รับประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย ผู้โดยสารได้รับเอกสารเร็วขึ้น ไม่ต้องรอคอยอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหาความผิดพลาดในการกรอกข้อมูลได้อีกด้วย โดยหลังจากทดลองใช้ e-Receipt มาได้ 1 เดือน พบว่ามีลูกค้าให้ความสนใจใช้บริการนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ไทยสมายล์ยังมีไฮไลท์สำคัญที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าธุรกรรมการเงินในรูปแบบดิจิทัลไปโดยสิ้นเชิง โดยมีความพร้อมจะเป็นสายการบินพาณิชย์รายแรกของไทยที่สร้างสรรค์ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) นำเสนอความสะดวกสบายและตอบสนองการใช้ชีวิตสุดสมาร์ทของผู้โดยสารอย่างเหนือความคาดหมาย ทั้งยังตอบสนองมิติใหม่ของระบบภาษี และเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากรอีกด้วย โดยขณะนี้ลูกค้าสามารถกรอกข้อมูลเพื่อขอใบกำกับภาษีได้ด้วยตนเองผ่านช่องทางออนไลน์
จากนั้นไทยสมายล์จะจัดส่งเอกสารไปตามที่อยู่ที่ระบุไว้ โดยใช้ระยะเวลาในการดำเนินการทั้งหมดประมาณ 5-7 วันทำการ เพียงแค่ช่วงเวลาเริ่มต้นในการใช้ระบบก็พบสถิติที่น่าพอใจ เพราะบริษัทฯ ได้ทำการส่งเอกสารใบกำกับภาษีฉบับสมบูรณ์มากกว่า 60-70 ใบต่อวันกลับไปยังลูกค้า ส่วนในอนาคตอันใกลนี้ไทยสมายล์กำลังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐอย่างเข้มข้น เพื่อผลักดันให้ลูกค้าสามารถออกใบกำกับภาษีด้วยตนเอง (e-Tax invoice)
“การลงทุนด้านดิจิทัลนั้นคุ้มค่าและได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมสามารถเชื่อมต่อระบบงานทั้งหมดให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างดี ทั้งยังจัดการกับปัญหางานเอกสารของบุคลากร ลดปริมาณการใช้กระดาษ และทำให้ระบบการเงินและบัญชีขององค์กรมีความคล่องตัว ส่งผลให้ไทยสมายล์ต้องมาโฟกัสใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อปรับปรุงและพัฒนางานบริการต่อไปในอนาคต อาทิ การนำ Chatbot มาใช้ในการตอบคำถาม, การปรับปรุง Mobile App ให้ตอบสนองการใช้งานมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันก็พร้อมผลักดัน Partner Strategic จับมือพันธมิตรสถาบันการเงินทั้งไทยและต่างประเทศมากขึ้น เพื่อให้รูปแบบการเงินดิจิทัลเป็นเรื่องง่าย และส่งเสริมไลฟ์สไตล์สังคมไร้เงินสดได้อย่างเป็นรูปธรรม” ชาริตา กล่าวทิ้งท้าย