2 กันยายน 2561 : นายไชย ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงมุ่งเน้นการขายผลิตภัณฑ์ประเภทคุ้มครอง ออมทรัพย์ระยะยาว สัญญาเพิ่มเติม ซึ่งเป็นสินค้าที่เอื้อให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน บริษัทฯจะรุกการขายผลิตภัณฑ์ประเภทควบการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น Universal Life หรือ Unit Linked เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่แสวงหาทางเลือกในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่า โดยสนับสนุนให้ตัวแทนของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตขายกรมธรรม์ Universal Life และใบอนุญาตผู้แนะนำการลงทุน หรือ IC License
“ปัจจุบันบริษัทฯ มีตัวแทนที่ได้รับใบอนุญาตขายกรมธรรม์ Universal Life และใบอนุญาต IC License รวม 4,483 คน โดยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 6,000 คน ภายในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ กำหนดแนวทางส่งเสริมให้ตัวแทนสอบใบอนุญาตดังกล่าว ผ่านการอบรมหลักสูตรต่างๆ อย่างเข้มข้น อาทิ หลักสูตรการสอบใบอนุญาต IC License หลักสูตรการขึ้นทะเบียนผู้ขาย ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ. หลักสูตรเทคนิคการนำเสนอฟผลิตภัณฑ์ประเภท Universal Life และ Unit Linked ซึ่งกำหนดฝึกอบรมต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน” นายไชยกล่าว
ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ประเภทควบการลงทุนจะนำเสนอขายในช่วงครึ่งปีหลัง ได้แก่ แบบประกัน TL Universal Life ซึ่งมีจุดเด่นคือ มีความยืดหยุ่นทั้งด้านความคุ้มครองและการออมเงิน โดยผู้เอาประกันสามารถเพิ่มหรือลดเบี้ยประกันที่ชำระได้ตามความต้องการ หรือเพิ่มเงินส่วนที่ออมได้ตลอดระยะสัญญาตามความต้องการ ด้วยการชำระเบี้ยประกันส่วนออมเพิ่ม ขณะเดียวกันสามารถถอนเงินบางส่วนได้ โดยไม่จำเป็นต้องเวนคืนกรมธรรม์ และหากชำระเบี้ยประกันภัยหลักต่อเนื่องจนถึงปีที่ 10 จะได้รับโบนัสเพิ่ม 2% ของเบี้ยประกันภัยปีที่ 10 เป็นต้นไป
แบบประกัน TL Life Solution 99/1 (Unit Linked) ชำระเบี้ยประกันครั้งเดียว โดยผู้เอาประกันสามารถวางแผนทางการเงินได้ตามช่วงจังหวะชีวิต และมีอิสระในการวางแผนการลงทุน สามารถจัดสรรการลงทุนให้ตรงความต้องการ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น จากหลากหลายกองทุนที่บริษัทฯ คัดสรรมาเป็นอย่างดี ควบคู่ความคุ้มครองชีวิตตลอดสัญญา และแบบประกัน TL Life Solution 99/99 (Unit Linked) ผู้เอาประกันสามารถเลือกวงเงินความคุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง 120 เท่าของเบี้ยประกันภัยและสามารถเลือกเพิ่มหรือลดวงเงินคุ้มครองได้
นายไชยกล่าวถึง ผลประกอบการของบริษัทฯ ในช่วง 6 เดือนแรก (มกราคม-มิถุนายน 2561) ว่า บริษัทฯ มีเบี้ยประกันรับปีแรก 7,579 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเที่ยบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และสูงกว่าอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันรับปีแรกทั้งธุรกิจที่เติบโตติดลบ 8% ค่อนข้างมาก
ส่วนทางด้านเบี้ยประกันชำระครั้งเดียว 3,939 เติบโต 9% เบี้ยและกันรับปีต่อไป 28,924 ล้านบาท อัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ 83% และเบี้ยประกันรับรวม 40,442 ล้านบาท เติบโต 5% โดยปัจจัยของการเติบโตของเบี้ยประกันรับปีแรก มาจากการขยายงานในช่องทางตัวแทน เติบโตเพิ่มขึ้น 6% และช่องทาง Non-Agent เติบโต 22%
สำหรับปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายเบี้ยประกันรับปีแรกอยู่ที่ 17,000 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 15% โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันรับปีแรกจากช่องทางตัวแทน 11,800 ล้านบาท และจากช่องทาง Non Agent 5,200 ล้านบาท
บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Development Goals (SDG) มากกว่าการสร้างอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันรับ หรือส่วนแบ่งการตลาดแบบก้าวกระโดด ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังเป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานคุณค่าของชีวิต (Value of Life) คุณค่าของชีวิต (Value of Love) และคุณค่าของมนุษย์ (Value of People) ผ่านการปลูกฝังให้คนไทยประกันชีวิตตระหนักรู้ถึงการเข้าใจ จริงใจ ไม่ทิ้งกัน
“คนไทยประกันชีวิต โดยเฉพาะตัวแทนต้องเป็น Life Solution Provider เป็นทุกคำตอบของชีวิต มีควาเข้าใจ จริงใจ ใส่ใจ สร้างความไว้วางใจให้เกิดกับลูกค้า และแบ่งปันให้กับลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และคนในสังคม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่จะเสริมสร้างให้องค์กรและสังคมมีควมเข้มแข็ง เติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างยั่งยืน” นายไชยกล่าวในที่สุด