13 สิงหาคม 2561 : เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อต่างๆ พากันลงข่าวคึกโครมอย่างต่อเนื่อง ถึงการจับกุมดาราดัง “นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม “ คดีร่วมกันฟอกเงิน ที่หลอกลงทุนเงินสกุลดิจิทัล (บิตคอยน์) มูลค่ากว่า 745 ล้านบาท พร้อมกับหมายจับเพิ่มเติมอีกประมาณ 5-6 คน ในข้อหาฉ้อโกงทรัพย์ โดยงานนี้มีเจ้าพ่อตลาดหุ้นเข้าไปเอี่ยวกันหลายคน
ย้อนกลับดูที่มาที่ไปของการจับกุมนี้กันสักหน่อย เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2561 ตำรวจกองปราบฯได้นำกำลังเข้าจับกุม นายจิรัชพิสิษฐ์ จารวิจิต หรือบูม คดีร่วมกันฟอกเงิน ที่หลอกลงทุนเงินสกุลดิจิทัล (บิตคอยน์) มูลค่ากว่า 745 ล้านบาท โดยการจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2561 ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนกองปราบปราม รับแจ้งจาก นายอาร์นี ออตตาวา ซาอ์ริมาอ์ ชาวฟินแลนด์ ผู้เสียหาย ว่า เมื่อประมาณมิ.ย. 2560 รู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหา ซึ่งเป็นกลุ่มที่ชอบการลงทุนในสกุลเงินดิจิตอลเหมือนกัน จากนั้นติดต่อเรื่องการลงทุนธุรกิจกันเรื่อยมา
ต่อมาผู้เสียหายถูกชักชวนให้ลงทุนประกอบธุรกิจประเภท ซื้อ-ขาย สกุลเงินดิจิตอล ในชื่อ ดราก้อน คอยน์ (DRG) โดยการซื้อหุ้นของบริษัท เอ็กซ์เปย์ ซอฟท์แวร์ จำกัด, NX Chain Inc. และหุ้นของบริษัทดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) อ้างว่าเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรได้สูง จึงหลงเชื่อร่วมลงทุนด้วยการโอนเหรียญบิตคอยน์ (สกุลเงินดิจิตอล) จำนวน 5,564.44650956 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 797,408,454.33 ไปยังกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-wallet) ของกลุ่มผู้ต้องหา และพวกที่เปิดร่วมกันเพื่อรองรับการโอนเงิน
หลังจากโอนเงินดิจิตอลไปแล้ว กลุ่มผู้ต้องหาถอนเงินสกุลบิตคอยน์ ไปขายแปลงเป็นเงินสกุลไทย ก่อนที่จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารพาณิชย์ที่เปิดรองรับไว้ จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาโอนเงินที่ได้มาแบ่งให้กับผู้ร่วมขบวนการแต่ละคน โดยแต่ละคนจะได้รับเงินไม่เท่ากัน
ต่อมาหลังจากผู้เสียหายจ่ายเงินสกุล บิตคอยน์ไปแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้รับหุ้นตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ นอกจากนี้ ยังพบว่าเงินที่ลงทุนไม่ได้ถูกนำไปลงทุนตามที่กลุ่มผู้ต้องหากล่าวอ้าง จึงทวงถาม แต่กลุ่มผู้ต้องหาก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด ก่อนที่จะรู้ตัวว่าถูกหลอกและเข้าแจ้งความดังกล่าว
การฉ้อโกงครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สืบทราบมาว่า มีผู้ที่เกี่ยวข้องมากมาย โดยเฉพาะนายปริญญา จารวิจิต ตัวการใหญ่ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายบูม ร่วมถึงพี่สาวนายบูม และมีเจ้าพ่อตลาดหุ้นอีกหลายรายที่อยู่ในขบวนการนี้ด้วย
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ต้องเข้าใจด้วยว่า การลงทุนดังกล่าวเป็นเรื่องใหม่ที่มาบูมในระยะ3-4 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้นีกลงทุนหน้าใหม่ ที่หวังผลตอบแทนสูงสนใจที่จะเข้ามาลงทุน ทำให้เหล่าสตาร์อัพเลือดใหม่ต่างเห็นช่องทำกำไรจากบล็อคเชน จนมีการก่อตั้งบริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมกับเชิญชวนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลหรือที่รู้จักกันคือ ICO ผ่านบิตคอย ด้วยผลตอบแทนที่สูงลิ้วกว่าการลงทุนในหุ้น ลงทุนในกองทุน ลงทุนในทองคำเสี่ยงอีก และผลตอบแทนที่สูงนี้เอง จึงเป็นสิ่งจูงใจให้นักลงทุนที่ไม่ตาสีตาสาหรือโลภมากเจ้ามาติดกักดักพวกหลวกลวงได้ง่าย
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หากไม่มีพวกละโมบโลภมากทั้งแก๊งต้มตุ๋นเหล่านี้ การลงทุนในบิตคอยก็ไม่ใช่สินทรัพย์ที่ไม่น่าลงทุน เพียงแต่บัญเอิญ ฝั่งนักลงทุนต่างชาติที่โลภว่าจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาเจอกับแก๊งฉ้อโกงในคราบเสื้อสูทที่มีความละโมบโลภมากกว่า ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างบิตคอยต้องติดมลทินไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงตัวบิตคอยเอง ถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าลงทุนอีกช่องทางหนึ่งสำหรับคนรวยๆที่มีเงินเหลือกินเหลือใช้ และไม่สะเทือนหากราคาบิตคอยร่วงหนัก และนักลงทุนต้องเจอบริษัทตัวแทนในการลงทุนที่ดีด้วย ถึงจะเรียกได้ว่า การลงทุนบิตคอยก็เป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่น่าสนใจ
แต่ในเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ ซึ่งไม่ใช่เหตุการณ์แรกที่ลวงให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนก็ตาม สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย ควรพึงระมัดระวังการลงทุนรูปแบบใหม่เหล่านี้ไว้บ้างก็ดี เพราะคำพูดที่ว่า รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ ยังใช้ได้เสมอสำหรับการลงทุนรูปแบบใหม่ๆนี้ ที่จะหลอกล้อเราไปในรูปแบบต่างๆ ซึ่งการฉ้อโกงครั้งนี้อาจไม่ได้เรียกว่าชวนมาลงทุนในบิตคอยโดยตรง แต่เป็นการหลอกนักลงทุนบิตคอยให้นำบิตคอยมาแลกซื้อหุ้นบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น
ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนพึงระวังมากที่สุด คือ 1.ระวังคนหลอกพาเข้าลงทุนในบิตคอย โดยที่ตัวเองไม่รู้จักการลงทุนแบบนี้อย่างแท้จริง 2.ระวังคนหลอกให้โอนบิตคอยเพื่อทำผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุความละโมบโลภมาก เชื่อใจง่ายๆด้วยผลตอบแทนที่มาล่อตาล่อใจ และ3.การลงทุนทุกอย่างควรอยู่ในความพอดี อย่าละโมบจนเชื่อใจมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้า “โลภมาก ลาภหาย” นะจ๊ะ