24 ก.ค. 61 : นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยส่งออกสินค้าไปยังประเทศสหรัฐฯ และจีน ประมาณ 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งที่ผ่านมาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเริ่มเห็นภาพชัดมากขึ้น
โดยสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเตรียมเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ประเด็นนี้สร้างความกังวลว่าการส่งออกรวมไปถึงเศรษฐกิจไทยจะถูกกระทบไปด้วย
“สหรัฐฯ เริ่มเรียกเก็บภาษีนำเข้าโซลาร์เซลล์ เครื่องซักผ้า เหล็กและอะลูมิเนียมกับทุกประเทศทั่วโลกตั้งแต่เดือน ม.ค. 2561 (ยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมให้กับอาร์เจนตินา, ออสเตรเลีย, บราซิลและเกาหลี) ต่อมาสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้บางส่วนตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ทำเนียบขาวประกาศจะเก็บภาษีเพิ่มเติมกับสินค้านำเข้าจากจีนรวมมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้มาตรการดังกล่าวจะอยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นสาธารณะซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน หรือ สามารถเริ่มบังคับใช้ได้อย่างเร็วสุดในเดือนก.ย. แต่ผลกระทบได้ขยายขอบเขตไปสู่สินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นผลกระทบในวงกว้าง”นายคมศรกล่าว
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ประเมินว่าสงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อไทย ทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางตรง มาจากมาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าในกลุ่มโซลาร์เซลล์ เครื่องซักผ้า เหล็กและอะลูมิเนียม ส่งผลโดยตรงต่อการส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทยไปยังสหรัฐฯ
จากข้อมูลปี 2560 ไทยส่งออกสินค้า ในกลุ่มโซลาร์เซลล์ เครื่องซักผ้า เหล็กและอะลูมิเนียม ไปยังสหรัฐฯ รวมเป็นมูลค่า 885 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 0.4% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย
ส่วนผลกระทบทางอ้อม เกิดจากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ทำให้จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ลดลง ส่งผลต่อเนื่องมายังการส่งออกสินค้าขั้นต้นและสินค้าขั้นกลางของไทยไปยังจีนลดลงตามไปด้วย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ได้นำรายการสินค้าที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ประกาศขึ้นภาษีระยะแรกมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐและระยะที่สองมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยประเมินจากมูลค่าสินค้าส่งออกของไทยไปยังจีนที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด และลดทอนด้วยสัดส่วนที่จีนจะนำไปผลิตและส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ ซึ่งจะได้มูลค่าสินค้าส่งจากไทยไปยังจีนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงประมาณ 2,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 0.9% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทยในปี 2560
นายคมศร กล่าวว่า เมื่อรวมผลกระทบจากทั้งทางตรงและทางอ้อม ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO Economic Strategy Unit) ประเมินว่า มาตรการภาษีที่สหรัฐฯ ประกาศออกมาทั้งหมดในปัจจุบัน จะส่งผลจำกัดต่อเศรษฐกิจไทย โดยจะกระทบต่อมูลค่าการส่งออกไทยอย่างมากที่สุดไม่เกิน 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.2% ของมูลค่าการส่งออกในปี 2560 ซึ่งหากคำนวณมูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกในแต่ละรายการ เราประเมินว่าผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยไม่เกิน 0.3% และคาดว่าทั้งปี 2561 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ที่ระดับ 4.4%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกและ GDP ของไทยค่อนข้างจำกัด แต่สถานการณ์ด้านสงครามการค้ายังมีความไม่แน่นอนสูง และอาจบั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกผ่านทางช่องทางอื่นๆ เช่น ความผันผวนของราคาสินทรัพย์และอัตราแลกเปลี่ยน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน รวมถึงการตัดสินใจลงทุนขยายกิจการของภาคเอกชน ซึ่งอาจล่าช้าออกไปจากความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป