21 กรกฎาคม 2561 : นายผยง ศรีวณิช กรรมการจัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทยมีกำไรสุทธิไตรมาส 2/2561 ที่ 7,712 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 139.35 จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยธนาคารได้ตั้งสำรองหนี้สูญอยู่ที่ 6,769 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 51.22 ช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีการตั้งสำรองค่อนข้างสูงในลูกค้ารายใหญ่กลุ่มหนึ่ง ขณะที่กำไรสุทธิของธนาคารในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 14,498 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.28
ทั้งนี้ สินเชื่อของธนาคารในไตรมาส 2/2561 มีการเติบโตดี สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยภาคการส่งออกเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นจากรายได้ภาคเกษตรที่เริ่มมีทิศทางดีขึ้น การลงทุนภาคเอกชนทยอยฟื้นตัว การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวดี รวมถึงการขยายตัวของภาคท่องเที่ยว
โดยสินเชื่อของธนาคารช่วงครึ่งแรกปีนี้อยู่ที่ 1,959,549 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 1.1 จากสิ้นปีก่อน ขณะที่เงินฝากอยู่ที่ 2,040,349 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.47 จากเงินฝากประจำที่ครบกำหนด และเงินฝากประเภทจ่ายคืนเมื่อทวงถาม
นายผยง ศรีวณิช กล่าวต่อไปว่า ธนาคารยังคงรักษาระดับอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ในไตรมาส 2/2561 ไว้ที่ร้อยละ 123.54 ซึ่งอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับสิ้นปีก่อนที่ร้อยละ 121.71 เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ระมัดระวัง
สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคาร ณ ไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ร้อยละ 17.61 เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่ร้อยละ 17.45 โดยเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารมีการประเมินความเพียงพอของเงินกองทุนในอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย และครอบคลุมถึงความสามารถในการรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
ส่วนหนี้ด้อยคุณภาพของธนาคาร ณ ไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 110,563 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.32 จากสิ้นปีก่อน โดยมีอัตราส่วนหนี้ด้อยคุณภาพ (Gross NPLs Ratio) อยู่ที่ร้อยละ 4.52 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.19 เมื่อสิ้นปีก่อน เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นจากลูกค้าขนาดกลางและขนาดย่อมในบางอุตสาหกรรม และธนาคารได้มีการจัดชั้นเชิงคุณภาพ
แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลัง การดำเนินงานของธนาคารมีทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวดีขึ้น ภาคลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคภาคเอกชนมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้คาดว่าความต้องการสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2/2561 ซึ่งธนาคารมีความพยายามที่จะผลักดันให้สินเชื่อขยายตัวตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งจะรักษา Coverage Ratio ไว้ในระดับที่มั่นคง และดูแลลูกค้าสินเชื่ออย่างใกล้ชิด
ในเดือนพฤษภาคม 2561 Fitch Ratings ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะสั้นของธนาคารขึ้นจาก F3 เป็น F2 ซึ่งสะท้อนถึงอัตราส่วนด้านสภาพคล่องของธนาคารมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งได้ประกาศคงอันดับเครดิตสากลสกุลเงินต่างประเทศระยะยาวที่ BBB และอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวที่ AA+(tha)
อีกทั้งในเดือนมิถุนายน 2561 Moody’s Investor Services ได้ประกาศคงอันดับความน่าเชื่อถือสากลสกุลเงินต่างประเทศของธนาคารที่ Baa1 ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มภาพ รวมสถานะทางการเงินที่มีเสถียรภาพ