7 มิถุนายน 2561 : นายฮิโระโนะริ คิริว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ปีนี้ 2561 บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตมากกว่า 4% คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 8,346 ล้านบาท และตั้งเป้าในปี 2020 จะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 9,100 ล้านบาท โดยบริษัทได้เริ่มนำความเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญระดับสากลมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ เพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล และ เสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจในการขับเคลื่อนธุรกิจประกันวินาศภัยไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0
ล่าสุดบริษัทได้เข้าร่วม InsurTech Sandbox ที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงาน คปภ. โดยเปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการ Sandbox ทำงานร่วมกับ InsurTech Startup เพื่อพัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
นอกจากนั้น ในด้านบริการเคลม บริษัทได้พัฒนาระบบ “Claim Process Integration” ซึ่งเชื่อมต่อการให้บริการเคลมแบบ all claim process ด้วยซอฟต์แวร์ระดับสากล ที่ช่วยประมวลผลด้านการเคลมให้เป็นหนึ่งเดียว ตั้งแต่การแจ้งเคลมจนถึงขั้นตอนการรับรถออกจากศูนย์ซ่อม ซึ่งช่วยติดตามผลสำรวจความพึงพอใจเพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการของบริษัทต่อไป คาดว่าจะนำมาใช้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้
ด้านการผนึกกำลังร่วมกับโตเกียวมารีนกรุ๊ป นายชินคิจิ ไมค์ มิกิ กรรมการผู้จัดการ โตเกียวมารีนเอเชีย เปิดเผยว่า “โตเกียวมารีนเอเชีย พร้อมสนับสนุนธุรกิจประกันวินาศภัยในประเทศไทย โดยได้มีการจัดตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นมาเพื่อศึกษาและพัฒนาโครงการด้านดิจิทัลและนวัตกรรมต่างๆ เพื่อสร้าง Knowledge Sharing ระหว่างกัน
ซึ่งขณะนี้ เริ่มมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆจากการศึกษาและพัฒนาไปใช้ในธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทแล้ว คาดว่าจะสามารถนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้ในไทยเร็วๆนี้ ในอนาคตผมมองว่า กลุ่มบริษัทโตเกียวมารีนในทวีปเอเชีย จะประสานความร่วมมือกัน (Synergy) พัฒนาระบบไอทีและดิจิทัล เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในภูมิภาคและการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคตต่อไป
สำหรับโตเกียวมารีนประกันภัย (ประเทศไทย) ดำเนินกลยุทธ์ผ่านช่องทางการขายหลัก ประกอบไปด้วย 1.ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากเครือข่ายบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในไทยและกลุ่มประเทศแม่น้ำโขงซึ่งให้ความไว้วางใจบริษัทมาอย่างยาวนาน 2.การเป็นพันธมิตรร่วมกับดีลเลอร์ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ อาทิ มิตซูบิชิ โตโยต้า อีซูซุ ซูซูกิ ฮอนด้า นิสสัน ฮุนได และ พันธมิตรรายล่าสุดอย่าง เมอร์ เซเดส เบนซ์ เพื่อมอบสิทธิประโยชน์และบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
3.ช่องทางการขายผ่านตัวแทนและ โบรกเกอร์ 4.ช่องทางอื่นๆ ประกอบด้วยการขายสินค้าผ่านสถาบันการเงิน (Bancassurance) และ ช่องทางการขายประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ โดยมีสัดส่วนของธุรกิจประกันภัยรถยนต์อยู่ที่ 48% และ ประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (non-motor) อยู่ที่ 52% ในปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทฯ ยังได้วางกลยุทธ์เพื่อสร้างรายได้จากธุรกิจใหม่ของบริษัท อาทิ โครงการประกันสินเชื่อเพื่อเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ในการคุ้มครองผู้เช่าซื้อเครื่องจักรกลทางการเกษตร, กรมธรรม์ประกันภัยสำหรับการจัดงานต่างๆ (Event Cancellation Insurance), กรมธรรม์ประกันภัยไซเบอร์ เพื่อคุ้มครองสินทรัพย์ประเภทข้อมูลและการถูกจารกรรมจากภัยไซเบอร์ เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เติบโตสูงเกิน 5% ด้วยรายได้เบี้ยประกันภัยรับรวม 7,999 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 656 ล้านบาท อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของธุรกิจประกันภัยรถยนต์ (Motor Insurance) ที่เติบโตมากกว่า10% มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 3,860ล้านบาท เช่นเดียวกับ ส่วนประกันภัยเบ็ดเตล็ด(Miscellaneous Insurance) ที่ปรับตัวสูงขึ้น มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,290 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 7%
ในขณะที่ธุรกิจประกันภัยขนส่งสินค้าทางทะเล (Marine Insurance) ยังคงรักษาความเป็นที่ 1 ด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวม 876 ล้านบาท เติบโตเกิน 1% สำหรับธุรกิจประกันอัคคีภัย (Fire Insurance) มีเบี้ยรับรวม1,973 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยประมาณ 2% อย่างไรก็ดี ปิดไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงรักษาผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมสูงขึ้นกว่าปี2017 ประมาณ 9% มีเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 2,166 ล้านบาท
ส่วนเหตุผลที่ทำให้บริษัทฯ มีกำไรนั้น มาจากการพิจารณารับประกันภัยรถยนต์ และการรับประกันภัยมารีนที่มีคุณภาพ ให้บริการที่ดีแก่ลูกค้า รวมถึงการประกันสินเชื่่อเช่าซื้อ ที่พอจะสร้างผลกำไรให้ได้บ้าง ทางด้านคอมบายเรโชโดยรวมของบริษัทฯ อยู่ที่ 86% สัดส่วนการรับประกันรถยนต์ 48% และการประกัน Non-Motor 52%