กรุงเทพฯ 24 พฤษภาคม 2561 : นายพงษ์อนันต์ ธณัติไตร ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2561 นี้ได้ทำงานร่วมกันในการศึกษาความต้องการของลูกค้า เปิดตัว กองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดีเว่อร์ หรือ KFGOOD เป็นตัวเลือกที่ดีในการลงทุน ด้วยการผสานการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ พร้อมการดูแลจัดสรรพอร์ตให้มีความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับภาวะตลาดโดยมืออาชีพผู้มีประสบการณ์ โดยเสนอขายครั้งแรก 25 พ.ค. – 6 มิ.ย. 2561
นางสาวศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ. กรุงศรี) เปิดเผยว่า จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่ากว่า 40% ของคนไทยยังคงออมเงินในรูปของเงินสด หรือมีการลงทุนเฉพาะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพียง เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อเท่านั้น ทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินระยะยาวได้
กองทุนเปิดกรุงศรีชีวิตดีเว่อร์ (KFGOOD) สามารถตอบโจทย์ผู้ลงทุนกลุ่มนี้ได้ เพราะนโยบายการลงทุนของกองทุน KFGOOD จะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น REITs กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในระดับไม่เกิน 50% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทำให้เพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น สัดส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มความมั่นคงของเงินลงทุน
ทั้งนี้ จุดเด่นของกองทุน KFGOOD คือความยืดหยุ่นในการจัดพอร์ตการลงทุน ในส่วนของหุ้นนั้นผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกหุ้นได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านขนาดและประเภทหุ้นที่สามารถลงทุนได้ ในภาวะที่ตลาด ผันผวนหรือมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไม่สดใส ผู้จัดการกองทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ได้สูงถึง 100% ของ NAV เพื่อลดระดับความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน กองทุน KFGOOD นี้ มีความเสี่ยงอยู่ที่ระดับ 5: (เสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง) และมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน”
กองทุน KFGOOD มีกระบวนการลงทุนที่แข็งแกร่งจากจุดแข็งของทีมผู้จัดการกองทุนหุ้นและทีมผู้จัดการกองทุน ตราสารหนี้ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนานและได้รับหลายรางวัลจากการบริหารกองทุน อาทิ Morningstar Thailand Fund Awards, Money & Banking Awards** (ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / รางวัลดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับการจัดอันดับของสมาคมบริษัทจัดการลงทุนแต่อย่างใด)
“ในส่วนของการคัดสรรหุ้นนั้นจะให้ความสำคัญกับการเยี่ยมชมบริษัท และพบปะผู้บริหารเพื่อวิเคราะห์เจาะลึกปัจจัยพื้นฐานของหุ้นรายตัว และพิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีการเติบโตต่อเนื่องไม่จำกัดขนาดและสไตล์หุ้น ทำให้มีความคล่องตัวในการปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับภาวะตลาดได้ดี” นางสาวศิริพร กล่าว