9 พฤษภาคม 2561 : นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ทาลิส เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) จะเพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาท ในปี 63 แบ่งเป็นกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) จำนวน 280 กองทุน มูลค่า 14,000 ล้านบาท และกองทุนรวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท จำนวน 12 กองทุน ภายใต้ลูกค้า 3,000 คน
ส่วนในปีนี้คาดว่า AUM จะอยู่ที่ 10,080 ล้านบาท แบ่งเป็น Private Fund จำนวน 135 กองทุน รวมมูลค่า 7,150 ล้านบาท และกองทุนรวมมูลค่า 2,930 ล้านบาท จำนวน 12 กองทุน ภายใต้ลูกค้า 1,400 คน โดยบริษัทจะเน้นการรักษาฐานลูกค้าเก่า และเพิ่มขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลจะเน้นที่กลุ่มลูกค้า High Net Worth ที่เคยลงทุนในกองทุนหรือหุ้นอยู่แล้ว ทั้งในกลุ่มลูกค้าเดิมที่รู้จักและจากการแนะนำต่อของลูกค้าปัจจุบัน
กองทุนรวมของบริษัทจะเน้นการขายผ่านตัวแทนสนับสนุนฯ (Selling agent) ทั้ง 14 บริษัท และที่ปรึกษาการลงทุนอิสระ (Independent Investment Consultant : IIC) กว่า 20 ราย รวมถึงได้จัดช่องทางการให้บริการแก่ลูกค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้ง Internet Trading: TalisAM Online Channel และ Mobile Application: Streaming For Fund ซึ่งถือได้ว่าบลจ.ทาลิสเป็นบลจ.แรกที่ให้บริการแก่ลูกค้าผ่าน Streaming for Fund Application
อนึ่ง บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ ณ สิ้นปี 60 รวม 6,887 ล้านบาท แบ่งเป็น Private Fund จำนวน 105 กองทุน มูลค่า 5,408 ล้านบาท และกองทุนรวมมูลค่า 1,479 ล้านบาท จำนวน 11 กองทุน ส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่มีนโยบายที่ลงทุนในหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 5,887 ล้านบาท ที่เหลือประมาณ 1,000 กว่าล้านบาทเป็นการลงทุนในตราสารหนี้
นายฉัตรพี กล่าวว่า การเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารมาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนที่มีต่อผู้บริหาร ผู้จัดการกองทุน และผู้ถือหุ้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างลงตัว ท่ามกลางรูปแบบการลงทุนที่มีความหลากหลาย อย่างไรก็ตาม ใน 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าได้ดีกว่าเป้าหมาย
ปัจจุบัน บลจ.ทาลิสมีสัดส่วนของมูลค่าทรัพย์สินของ Private Fund และกองทุนรวม คิดเป็น 80:20 ซึ่งกองทุนรวมถือว่าเป็นกองทุนรวมหุ้นไทยที่ครอบคลุมทั้งหุ้นใหญ่ หุ้นกลาง-เล็ก หุ้นปันผล และหุ้นธรรมาภิบาล
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ทาลิส กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยมองว่าในช่วงปลายปีดัชนีมีโอกาสที่จะกลับไปเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,850-1,900 จุดได้ บนระดับ P/E ที่ 17-18 เท่า โดยปัจจัยหลักที่จะช่วยมาสนับดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้คือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าจะเติบโต 8-10% มาที่ 1.1 ล้านล้านบาท จากปีก่อน 1 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยบวกจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 4% โดยได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงหนุนหลัก หลังสัดส่วนการเที่ยวต่อภาพรวมของผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นเป็น 18% จากเดิมที่ราว 10% ซึ่งช่วยหนุนให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งมากขึ้น