2 พฤษภาคม 2561 : “การออม” ถือเป็นเรื่องสำคัญในสังคมไทย เพราะปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีสภาพหนี้ครัวเรือนสูงมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องมาจากการสร้างค่านิยมที่ผิดๆ ส่งผลให้เกิดเป็นสังคมบริโภคนิยมและวัตถุนิยม โดยเฉพาะในกลุ่มเจนวาย (Generation Y) หรือกลุ่มวัยเริ่มทำงาน ถือเป็นกลุ่มที่มีภาระหนี้สูงที่สุด ซึ่งหากปล่อยไว้ปัญหาดังกล่าวอาจส่งผลระยะยาวต่อตัวบุคคลและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้นสังคมไทยจึงควรตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวและช่วยกันสร้างค่านิยมใหม่ โดยเริ่มจากการปลูกฝังนิสัยการออมและความพอเพียงตั้งแต่ในวัยเด็ก

ล่าสุด บริษัท ติวเตอร์ดีดี จำกัด ผู้นำธุรกิจการเรียนการสอนโครงการติวเตอร์สอนน้องเพื่อเตรียมความพร้อมสู่มหาวิทยาลัย ได้จัดกิจกรรม “ค่ายเศรษฐีน้อยพอเพียง” เวิร์คช้อปให้ความรู้ด้านการออมและความพอเพียงให้แก่น้องๆ เยาวชนอายุระหว่าง 7-10 ปี และผู้ปกครอง โดยได้รับเกียรติจาก ดร. อัจฉรา โยมสินธุ์ หรือ ครูพี่รัก ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการพัฒนาเยาวชน เป็นผู้ให้ความรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ

ด.ช.จิรวิทย์ หริญศักดิ์ หรือ “น้องฮีโร่” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เล่าว่า “สำหรับกิจกรรมที่ชื่นชอบที่สุดคือ “กระปุกออมสิน” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้อยากออมเงินมากขึ้น เพราะคุณครูได้สอนให้เขียนเป้าหมายหรือสิ่งที่อยากได้ที่สุดลงไปบนกระปุกออมสิน เพื่อกระตุ้นให้เกิดแรงขับเคลื่อนในการเก็บเงิน นอกจากนี้ยังได้ความรู้ถึงวิธีการเก็บเงินมาออม โดยคุณครูบอกว่าถ้าเราได้เงินไปโรงเรียน ให้แบ่งเงินส่วนหนึ่งออกมาหยอดกระปุกทันที จากนั้นค่อยนำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เก็บเงินได้ง่ายขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ที่เก็บเงินไม่ได้เนื่องจากจะเก็บเงินหลังจากที่ใช้เหลือในแต่ละวัน ซึ่งจะทำได้ยาก เพราะมีสิ่งยั่วยุให้ใช้เงินตลอดเวลา”

ทางด้าน ด.ช. กันตวัฒน์ ทัศนกุลพันธ์ หรือ “น้องพุฒิ” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ เล่าว่า “กิจกรรมครั้งนี้ได้รับความรู้หลายอย่าง ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันอย่างเช่นเรื่องของการออม รวมถึงเรื่อง “ความต้องการ หรือ ความจำเป็น” (Want or Need) เพราะเป็นกิจกรรมที่สอนให้รู้และสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนเกิดจากความต้องการ

สิ่งไหนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน และยังสอนถึงเรื่องความพอเพียงด้วย เช่น การเลือกซื้อดินสอ 1 แท่ง หลายคนนิยมซื้อดินสอกด เพราะต้องการความสวยงาม ถึงแม้จะมีราคาแพง แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถเลือกซื้อดินสอไม้ธรรมดาก็ใช้เขียนหนังสือได้เช่นกัน อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าด้วย เป็นต้น

ด.ญ. ศิริญญากานต์ โชควรภัคกุล หรือ “น้องซินเซีย” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ เล่าว่า “โดยปกติจะชอบเก็บออมเงินอยู่แล้ว เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่จะค่อยสอนเสมอ แต่สิ่งที่ได้รับเป็นความรู้เพิ่มเติมจากกิจกรรม คือเรื่องของ “การเขียนรายรับรายจ่าย” เป็นเรื่องที่ง่าย หลายคนสามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน เพียงทำตาราง 3 ช่อง ช่องแรกเป็นรายละเอียด

สำหรับเขียนบรรยายเงินที่ได้รับและจ่ายออกไป เช่น รับเงินค่าขนม ซื้ออาหารกลางวัน ซื้อขนม เป็นต้น ช่องที่ 2 คือ รายรับ สำหรับใส่จำนวนเงินที่ได้รับ ช่องที่ 3 คือ รายจ่าย สำหรับใส่จำนวนเงินที่จ่ายออกไป เมื่อเราบันทึกข้อมูลในแต่ละวัน ก็จะทำให้รู้ว่าเราใช้จ่ายเงินมากน้อยเท่าไหร่ และนำข้อมูลมาวางแผนการใช้เงินในวันต่อๆ ไปได้”

ปิดท้ายด้วย ด.ญ. กรรณิการ์ วัชชิรปัญญา หรือ “น้องฮันนา” นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวรรัตน์วิทยา เล่าว่า “กิจกรรม “โต๊ะอาหาร” เป็นกิจกรรมที่ชอบมาก เพราะทำให้ได้เรียนรู้ว่าการเลือกรับประทานอาหารในแต่ละมื้อ นอกเหนือจากความอร่อยแล้วยังต้องคำนึงถึงคุณค่าทางอาหารที่ต้องมีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ และต้องเลือกรับประทานอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และเหมาะสมกับราคาที่จ่ายค่าอาหารไป กิจกรรมนี้ทำให้ได้รู้ว่าอาหารหลายอย่างเป็นสิ่งที่เราอยากรับประทาน แต่จริงๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่อาหารง่ายๆ อย่างผัดผักกลับมีประโยชน์มากกว่า และราคาถูกกว่า”

ดร. อัจฉรา โยมสินธุ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและการพัฒนาเยาวชน เล่าว่า “สำหรับกิจกรรมครั้งนี้ นอกจากความสนุกสนานที่จะได้รับแล้ว กิจกรรมในฐานต่างๆ ยังคงสอดแทรกเนื้อหา 4 เรื่อง ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการออมและความพอเพียงเข้าไปด้วย ได้แก่ ออมเงินก่อนใช้เงิน ไม่จำเป็นเราไม่ซื้อ จดบันทึกรายรับรายจ่าย รู้จักพอเพียงและแบ่งปัน เพื่อให้น้องๆ ได้นำความรู้ดังกล่าวไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

อีกทั้งกิจกรรมในครั้งนี้ ยังได้เชิญผู้ปกครองซึ่งถือเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กๆ ในด้านการออม มาร่วมกันปรับทัศนะคติและให้ความรู้เรื่องการออมเงินตามหลักความพอเพียง เพื่อช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ เกิดพฤติกรรมการออมอย่างถูกต้องและยั่งยืน