2 เมษายน 2561 : วิจัยกรุงศรีกล่าวในรายงานผลกระทบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำต่อเศรษฐกิจไทยว่า ในภาพรวมการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้ค่อนข้างสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในแง่ของเวลา สาขาการผลิต และพื้นที่ หากพิจารณาจากส่วนต่างระหว่างการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงาน (ผลผลิตต่อแรงงานหนึ่งหน่วย) กับการเพิ่มขึ้นของค่าแรงที่แท้จริง จะพบว่าในช่วงก่อนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสู่ 300 บาท
การเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงานช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของค่าแรงที่แท้จริง หรือส่วนต่างมีค่าเป็นลบ (รูปที่ 1) ในขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน (ข้อมูลล่าสุด ณ ปี 2560 ไตรมาส 3) ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าแรงที่แท้จริงหรือส่วนต่างมีค่าเป็นบวก ซึ่งสะท้อนว่ายังมีช่องว่างให้ปรับขึ้นค่าจ้างเพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการผลิตของแรงงานที่เพิ่มขึ้น หากพิจารณาในแต่ละสาขาการผลิต
พบว่าในปัจจุบันผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นเร็วกว่าค่าแรงที่แท้จริงในทุกสาขาการผลิต สอดคล้องกับภาพรวมของประเทศ และหากประเมินในแง่ของพื้นที่ (รูปที่ 2) พบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าแรงเฉลี่ยเพิ่มขึ้นในอัตราที่สอดคล้องกับการเติบโตของผลิตภาพแรงงานในแต่ละจังหวัด ดังนั้นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จึงสะท้อนความสามารถด้านการผลิตของแรงงานที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
วิจัยกรุงศรีประเมินว่า ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้จะทำให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นไม่ถึงร้อยละ 1 การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในปีนี้ที่เฉลี่ยร้อยละ 3.4 คาดว่าจะส่งผลให้ค่าจ้างของแรงงานในระดับอื่นๆ ปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยรวมแล้วจะทำให้ต้นทุนค่าแรงทั้งประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.1 และจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตทั้งประเทศเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.95
ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตสามารถจำแนกผลกระทบเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ ผลกระทบทางตรงร้อยละ 0.13 ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างเฉพาะปัจจัยการผลิตด้านแรงงาน ส่วนที่สองคือ ผลกระทบทางอ้อมร้อยละ 0.82 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาปัจจัยการผลิตอื่นๆ หรือเป็นการเพิ่มขึ้นของต้นทุนค่าแรงที่แฝงอยู่ในราคาสินค้าขั้นกลางและวัตถุดิบ
นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตดังกล่าวคาดว่าจะส่งผ่านมายังราคาสินค้าผู้บริโภคร้อยละ 0.62 ซึ่งอาจจะมีส่วนช่วยผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำในปัจจุบันให้ทยอยเข้าสู่กรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยได้ในช่วงกลางปีนี้