28 มีนาคม 2561 : ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าของ บมจ.เจ้าพระยาประกันภัย ที่ถูกคณะกรรมการ คปภ. มีมติให้หยุดรับประกันภัยวินาศภัยเป็นการชั่วคราว เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมาว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจประกันภัยทั้งระบบอย่างแน่นอน เพราะเป็นบริษัทขนาดเล็ก มีส่วนแบ่งการตลาดที่น้อยมากแค่ 0.9% เท่านั้น และมีกรมธรรม์ที่มีผลบังคับใช้อยู่ไม่ถึง 3 แสนราย
โดยในส่วนของลูกค้าเองก็ยังสามารถเคลมสินไหมได้ตามปกติ บมจ.เจ้าพระยาประกันภัย ยังมีสภาพคล่องเพียงพอที่จ่ายสินไหมได้ เพียงแต่ตอนนี้ขายกรมธรรม์ใหม่ไม่ได้เท่านั้นเอง ซึ่งก็ต้องรอดูว่าเมื่อถึงวันที่ 29 มิ.ย.นี้ บริษัทจะสามารถแก้ไขปัญหาตามที่ คปภ.กำหนดไว้ได้หรือไม่
ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่า มีบริษัทประกันภัยรายใดที่มีปัญหาเรื่องฐานะการเงินเหมือนกับบริษัท เจ้าพระยาประกันภัย ถึงแม้อาจจะมีบ้างที่มีบางช่วงบางเวลามีบริษัทประกันมีอัตราเงินอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (คาร์เรโช) อยู่ระหว่าง 100-140% แต่เมื่อทางคปภ.ทราบก็รีบให้บริษัทเหล่านั้นแก้ไขปัญหาโดยเร็ว เพื่อทำให้คาร์กลับมาอยู่ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 140% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้
แต่กรณีของเจ้าพระยาประกันภัยนั้น ไม่ได้มีสาเหตุแค่เรื่องคาร์เรโช อย่างเดียว ยังมีปัญหาเรื่องการเงินอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องอีก ซึ่ง คปภ.ก็ต้องรีบระงับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นไว้ก่อน โดยปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจประกันวินาศภัยมีคาร์เฉลี่ยอยู่ที่ 230% ส่วนภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตมีคาร์เฉลี่ยอยู่ที่ 300%” นายสุทธิพล กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากธุรกิจประกันภัยมีการนำเทคโนโลยีด้านการตรวจสอบมาใช้งานมากขึ้น ก็จะทำให้มีการเตือนปัญหาและแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีตัวใหม่ อย่าง Regulatory Technology หรือ “RegTech” ที่เป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการยกระดับและเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลของภาคธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแล รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยง โดยไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี RegTech for Supervisors หรือ SupTech ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีมาช่วยหน่วยงานกำกับในการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลภาคธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์โดยอาศัยระบบอัตโนมัติ หรือ AI หรือการใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ในการประสานงานกับภาคธุรกิจ เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง เกิดความรวดเร็วและคล่องตัวในการใช้มาตรการกำกับดูแล