21 มีนาคม 2561 : นายเรืองเดช ดุษฎีสุรพจน์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท สินมั่นคงประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเป้าหมายการดำเนินงานปี 2561 คาดว่าจะมีเบี้ยประกันภัยรับทั้งสิ้น 9,606 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 7.15% แบ่งเป็นการประกันรถยนต์ 8,428 ล้านบาท คาดว่าเติบโต 6.53% แยกเป็นประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ 7,425 ล้านบาท เติบโต 6.88% ภาคบังคับ 1,003 ล้านบาท คาดเติบโต 4%
ประกันอัคคีภัย 167.36 ล้านบาท คาดว่าเติบโต 5% ประกันภัยเบ็ดเตล็ด 1,001 ล้านบาท คาดว่าเติบโต 13% แยกเป็น ประกันอุบัติเหตหุส่วนบุคคล 605.24 ล้านบาท เติบโต 10% แยกเป็นประกันสุขภาพ 77.402 ล้านบาท คาดว่าเติบโต 10% IAR 54.027 ล้านบาท คาดว่าโต 200% ประกันอิสรภาพ 82.408 ล้านบาท อื่นๆ 182.166 ล้านบาท และประกันมารีน 8.791 ล้านบาท คาดว่าโต 15%
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2560 มีเบี้ยประกันรับรวม 8,965 ล้านบาท แบ่งเป็นประกันภัยรถยนต์ 7,912 ล้านบาท แยกเป็นประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ 6,947 ล้านบาท ประกันภาคบังคับ 965.15 ล้านบาท ประกันอัคคีภัย 159.35 ล้านบาท ประกันเบ็ดเตล็ด 886 ล้านบาท แยกเป็น ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 550.22 ล้านบาท
ประกันสุขภาพ 61.921 ล้านบาท ประกัน IAR 18.009 ล้านบาท ประกันอิสรภาพ 82.408 ล้านบาท อื่นๆ 173.444 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสนับสนุนผลิตภัณฑ์ และการให้บริการสำหรับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ SMK Speed แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดการเคลมรถยนต์ได้เอง ผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งยังคงใช้งานอยู่จนถึงปัจจุบัน
และล่าสุดได้พัฒนาแอปพลิเคชันเพิ่มขึ้นอีก 2 แอปพลิเคชัน เพื่อส่งเสริมการให้บริการสำหรับลูกค้าประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ ภายใต้ชื่อ “SMK Drive safe & save” และ “SMK Health”
โดยแอปพลิเคชันเพื่อส่งเสริมการให้บริการสำหรับลูกค้าประกันภัยรถยนต์ “SMK Drive safe & save” มีการทดสอบการใช้งานมาตั้งแต่ปี 2559 และได้ต่อยอดแนวความคิดจากผลิตภัณฑ์ปัจจุบันที่มีอยู่ นั่นคือ ประกันรถยนต์ตามไมล์ ซึ่งเน้นเรื่อง ขับน้อย จ่ายน้อย ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงกว่าถ้าแต่ละวันขับไม่ไกล โดยนำมาผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ช่วยวัดระยะทางในการขับรถได้อย่างแม่นยำ และใช้งานง่าย จึงเกิดเป็น SMK Drive safe & save
ซึ่งแอปพลิเคชันตัวนี้ จะช่วยวัดระยะทางในการขับขี่ของลูกค้าที่ทำประกันรถยนต์ตามไมล์ ให้ทราบถึงระยะทางเฉลี่ยในการใช้งานได้อย่างชัดเจน โดยระบบจะช่วยเก็บข้อมูลระยะทางการใช้รถผ่านสมาร์ทโฟน สามารถเปิดหรือปิดเองอัตโนมัติ ใช้ GPS เป็นตัวบันทึกและอุปกรณ์ Beacon จะช่วยให้การบันทึกแม่นยำขึ้น หากลูกค้าขับน้อย มีความเสี่ยงน้อยกว่า ก็ควรได้รับเบี้ยประกันที่ต่ำกว่าผู้ที่ขับมาก ภายใต้แนวคิด “คืนไมล์ คืนเงิน” โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
1. ลูกค้าที่สามารถทำประกันรถยนต์ตามไมล์ได้ จะต้องเป็นลูกค้าที่ขับรถยนต์โดยเฉลี่ยไม่เกิน 70 กิโลเมตร/วัน หรือ 25,550 กิโลเมตร/ปี 2. การคืนเบี้ยประกัน บริษัทฯ จะคืนเบี้ยประกันให้กับลูกค้าที่ขับรถยนต์ 75% ของจำนวนวันทั้งปี
3. บริษัทฯ จะคืนเบี้ยประกันให้กับลูกค้าที่ขับเป็นระยะทางน้อยกว่า 70 กิโลเมตร/วัน โดยลูกค้าที่ขับน้อยลงทุก 10 กิโลเมตร/วัน จะได้รับเบี้ยประกันคืน 5% ลูกค้าสามารถรับเบี้ยประกันคืนสูงสุดได้ถึง 15% และ 4. ลูกค้าสามารถรับเบี้ยประกันคืน เป็นรางวัลจากการขับน้อยลง เมื่อครบอายุกรมธรรม์
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลูกค้าใช้แอปพลิเคชัน และส่งเสริม Emotional Engagement กับลูกค้าให้มากขึ้น บริษัทฯ จึงได้เพิ่มบริการเสริมในแอปพลิเคชัน ให้ลูกค้าสามารถติดตามพฤติกรรมการขับรถของตนเองได้ด้วย
ไม่เพียงแต่ประกันรถยนต์เท่านั้น บริษัทฯ ยังได้ศึกษานวัตกรรมในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ เพื่อจะช่วยส่งเสริมการบริการให้แก่ลูกค้าในส่วนของประกันสุขภาพที่บริษัทฯ มุ่งเน้นด้วย เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทเป็นผู้ช่วยในการออกกำลังกายมากขึ้น และทุกอย่างง่ายอยู่บนสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว จึงได้นำเอาแนวคิดนี้มาช่วยต่อยอดผลิตภัณฑ์ปัจจุบันที่มีอยู่ คือ ประกันสุขภาพตามฟิต ยิ่งฟิตมาก…เบี้ยประกันยิ่งลดมาก
โดยจะช่วยติดตามสถิติการก้าวเดินโดยอัตโนมัติ พร้อมบริการเสริมเพื่อควบคุมน้ำหนัก ติดตามผลการเผาผลาญแคลอรี่ และผลการรับประทานอาหาร ภายใต้ชื่อ “SMK Health ” ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยที่จะคอยกระตุ้นเตือนให้ลูกค้าหันมาดูแลสุขภาพอย่างจริงจัง และสามารถทำตามเป้าหมายที่ตั้งใจได้ง่ายขึ้น ด้วยแนวคิด “ตามฟิต ตามก้าว ยิ่งก้าว เบี้ยยิ่งลด” ดังนั้นลูกค้าจึงสามารถรับเบี้ยประกันคืนได้ หากผลการออกกำลัง (ก้าวเดิน) เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยมีหลักเกณฑ์ในการคืนเบี้ยประกัน ดังนี้
1. หากลูกค้ามีสถิติก้าวเดินเฉลี่ย 3,000 ก้าว/วัน รับเบี้ยประกันคืน 5% เมื่อครบอายุกรมธรรม์
2. หากลูกค้ามีสถิติก้าวเดินเฉลี่ย 6,000 ก้าว/วัน รับเบี้ยประกันคืนสูงสุด 10% เมื่อครบอายุกรมธรรม์
โดยมีกำหนดการจะเปิดให้ลูกค้าได้ใช้งานพร้อมกันทั้ง 2 แอปพลิเคชันในวันที่ 1 เมษายนนี้
บริษัทฯ ยังคงพยายามดึงนวัตกรรมมาสนับสนุนการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าด้วยระบบต่างๆ ที่พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงแอปพลิเคชันล่าสุดนี้ จะช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ และตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของบริษัทได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถสนับสนุนการเติบโตของบริษัทได้อย่างยั่งยืนบนพื้นฐานความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก”