ซีไอเอ็มบี ไทย เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1 ทำได้ 327.3 ล้านบาท เติบโต 150.6% จากปี 2558 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเติบโตดีขึ้น ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวลดลง
นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 มีกำไรสุทธิจำนวน 327.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 196.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 150.6 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2558 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.9 และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงร้อยละ 1.5 รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงร้อยละ 18.3 และรายได้อื่นลดลง ร้อยละ 7.8
นอกจากนี้ สำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นจากสภาวะเศรษฐกิจ เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนปี 2559 และ 2558 รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปี 2558 จำนวน 351.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.8 เป็นจำนวน 3,314.6 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 476.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.9 รวมถึงผลจากการขยายสินเชื่อและการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลง 74.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 18.3
นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากการลดลงของค่าธรรมเนียมจากการเป็นผู้จัดจำหน่ายพันธบัตรและตราสารหนี้ และค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย และรายได้อื่นลดลง 50.1 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.8
สำหรับ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2559 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2558 ลดลงจำนวน 26.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 1.5 สาเหตุส่วนใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารสถานที่และอุปกรณ์ และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ต่อรายได้จากการดำเนินงาน อยู่ที่ร้อยละ 53.0 ขณะที่อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับอยู่ที่ร้อยละ 3.72 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปี 2558 อยู่ที่ร้อยละ 2.95 เป็นผลจากการที่ธนาคารสามารถควบคุมต้นทุน เงินฝากที่ดีขึ้น
เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 200.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1.4 พันล้านบาท หรือร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 205.8 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.7 จากสิ้นปี 2558 ซึ่งมีจำนวน 218.4 พันล้านบาท ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อต่อ เงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น เป็นร้อยละ 97.4 จากร้อยละ 91.1 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558
ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อยู่ที่ 6.2 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้น (NPL ratio) อยู่ที่ร้อยละ 3.0 ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 อยู่ที่ร้อยละ 3.1
ทางด้านอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ อยู่ที่ร้อยละ 115.0 เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 106.5 ตามนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวัง วันที่ 31 มีนาคม 2559 เงินสำรองของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 7.1 พันล้านบาท ซึ่งเป็นสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 3.3 พันล้านบาท
เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร มีจำนวน 34.6 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 15.0 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 10.8