8 มีนาคม 2561 : นายชัยยุทธ คำคุณ รองอธิบดี รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร ได้รับมอบหมายจากนายกุลิศ สมบัติศิริ อธิบดีกรมศุลกากร ให้แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีประเด็นในโซเชียลมีเดียระบุว่า กรมศุลกากรได้ออกประกาศกรมศุลกากรกำหนดให้ผู้โดยสารที่นำของ อาทิ คอมพิวเตอร์สำหรับพกพา กล้องถ่ายรูป จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางออกไปต่างประเทศ
กรมศุลกากรขอชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวเป็นไปตามประกาศที่ 60/2561 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 แต่สาระในประกาศฯ ดังกล่าวมิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นแนวทางปฏิบัติที่กรมฯ ได้ดำเนินการมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่เหตุที่ต้องนำมาออกประกาศกรมศุลกากรใหม่ เนื่องจาก พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ถูกยกเลิก โดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการยังคงมีผลในทางปฏิบัติ จึงต้องออกประกาศกรมฯ ฉบับนี้
ทั้งนี้ เนื้อหาของประกาศฉบับนี้ มิได้กำหนดให้ผู้โดยสารทุกคน จะต้องนำสิ่งของไปแจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางออกนอกประเทศ แต่วัตถุประสงค์ของประกาศฉบับนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารที่อาจมีสิ่งของที่ต้องนำไปต่างประเทศ เช่น เพื่อนำไปแสดงนิทรรศการ หรือเพื่อนำไปประกอบวิชาชีพ แล้วเกรงว่าหากนำของดังกล่าวกลับเข้ามาในประเทศ อาจถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่ท่าอากาศยานตรวจพบ และตั้งข้อสงสัยว่าของนั้นเป็นของที่เพิ่งนำเข้ามาจากต่างประเทศ และอยู่ในข่ายต้องเสียภาษีอากร ทำให้ผู้โดยสารต้องเสียเวลาหรือมีความยุ่งยากในการหาหลักฐานประกอบคำชี้แจง
ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว กรมศุลกากรจึงมีบริการเพื่อให้ผู้โดยสารสามารถที่จะไปพบเจ้าหน้าที่ก่อนเดินทางออกนอกประเทศเพื่อให้เจ้าหน้าที่บันทึกสิ่งของนั้นไว้เพื่อเป็นหลักฐาน และแสดงหลักฐานดังกล่าวต่อเจ้าหน้าที่เมื่อเดินทางกลับเข้าประเทศ การปฏิบัติดังกล่าวไม่ได้บังคับผู้โดยสาร ไม่มีบทลงโทษผู้โดยสาร ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้โดยสารจะเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับตนเองหรือไม่
นอกจากนี้ โฆษกกรมศุลกากร ได้ชี้แจงในกรณีที่ผู้โดยสารซื้อสินค้าจากร้านค้าปลอดอากรขาออกและนำของนั้นกลับเข้าประเทศว่า หากนำของนั้นเข้ามาและของมีมูลค่ารวมกันไม่เกินสองหมื่นบาท (เว้นแต่ สุรา บุหรี่ ซิการ์ และยาเส้น ซึ่งจะต้องเป็นไปตามปริมาณที่กำหนด) จะได้รับการยกเว้นค่าภาษีอากร แต่หากของนั้นมีมูลค่าเกินสองหมื่นบาท หรือนำเข้าสุรา บุหรี่ ซิการ์ และยาเส้น เข้ามาเกินปริมาณที่กำหนด หรือนำเข้ามาเพื่อการค้าแม้จะราคาไม่ถึงสองหมื่นบาท ก็ต้องเสียภาษีอากร
ส่วนกรณีที่โซเชียลมีเดียมีประเด็นเรื่องการตรวจสัมภาระ Check Through ว่าเป็นเรื่องใหม่หรือไม่นั้น กรมศุลกากรขอเรียนว่า เรื่องดังกล่าวมิใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ได้ปฏิบัติมาเป็นระยะเวลานานแล้ว กล่าวคือ กรณีผู้โดยสารขาเข้า ตัวอย่างเช่น ผู้โดยสารที่เดินทางจากต่างประเทศผ่านท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยัง ท่าอากาศยานปลายทางในประเทศ เช่น ท่าอากาศยานเชียงใหม่ การตรวจกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง หรือ Hand Carry จะดำเนินการที่ First Port คือที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ส่วนกระเป๋าสัมภาระที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องจะถูกนำไปตรวจที่ Last Port คือ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และกรณีผู้โดยสารขาออก ที่ Check Through ไปต่างประเทศ สำหรับตัวอย่างนี้ จะตรวจกระเป๋าสัมภาระที่โหลดใต้ท้องเครื่องที่ First Port คือ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ส่วนกระเป๋าที่ถือขึ้นเครื่อง หรือ Hand Carry จะตรวจที่ Last Port คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อนออกไปต่างประเทศ
กล่าวโดยสรุป เรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น มิใช่เป็นเรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่กรมศุลกากร ได้กำหนดเป็นแนวทางปฏิบัติมาเป็นระยะเวลานานแล้ว แต่โดยเหตุที่พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช ๒๔๖๙ ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ จึงจำเป็นที่จะต้องออกประกาศกรมศุลกากรฉบับใหม่เพื่อให้แนวทางปฏิบัติยังคงมีผลบังคับใช้เช่นเดิม