9 กุมภาพันธ์ 2561 : ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยที่แกว่งตัวผันผวนและปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านนั้นเป็นการปรับตัวสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก โดยมีปัจจัยกดดันที่สำคัญคือความกังวลของนักลงทุนต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)ในปีนี้ จากเดิมมองว่า 1 ครั้งกว่าๆเพิ่มมาเป็น 3 ครั้ง
ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อคาดการณ์ของสหรัฐฯที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนแห่ขายพันธบัตรจนทำให้ Bond yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จึงเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนที่รอจังหวะอยู่ ทยอยโยกเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกเข้าสู่ตราสารหนี้สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการปรับพอร์ตโฟลิโอรอบใหญ่ จึงทำให้เกิดความผันผวนสูง และกระตุ้นให้เกิดแรงขายเชิงโมเมนตัมจากกองทุนประเภท Hedge fund และ Volatility fund ยิ่งเป็นแรงกดดันซ้ำเติม
อย่างไรก็ตาม นายณัฐชาตกล่าวว่า ประเมินว่าตลาดหุ้นทั่วโลกหลังจากนี้จะเผชิญกับความผันผวนที่น้อยลง ยกเว้นเสียว่า Bond yield สหรัฐฯจะปรับตัวกระโดดขึ้นมาอีก แต่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากที่ระดับปัจจุบัน ได้สะท้อนหรือ Price in การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed 3 ครั้งในปีนี้ไปแล้ว และไม่คิดว่า Fed จะมีการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่านี้อีก
นายณัฐชาตยังระบุว่า มองว่าการปรับลงของตลาด มีระดับแนวรับสำคัญอยู่ 2 ระดับได้แก่ แนวรับแรกที่ระดับ 1,750-1,760 จุด เนื่องจากเป็นระดับต้นทุนดัชนีของนักลงทุนสถาบันในประเทศ ที่เข้ามาซื้อหุ้นอย่างหนักในช่วงต้นเดือนธันวาคมและมีแนวรับที่สองที่ 1,700 จุด เนื่องจากเป็นระดับที่น่าสนใจในแง่ของ Valuation เพราะซื้อขายด้วย Forward PE ปี 2562 ที่ 14 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพในเชิงของ Valuation
ในสภาวะที่ตลาดยังต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย นายณัฐชาตแนะนำ Theme การลงทุนที่เหมาะจะเป็นหลุมหลบภัยได้แก่ กลุ่มหุ้นปันผลสูง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่มี Downside จำกัดกว่าตลาด ได้แก่ กลุ่มที่อยู่อาศัย (AP, LH) กลุ่มโรงกลั่น (IRPC, SPRC, TOP) และ กลุ่มธนาคารเช่าซื้อ (KKP, TISCO)