5 กุมภาพันธ์ 2561 : หลังจากที่บิทคอยน์เริ่มเข้ามามีบทบาทการลงทุนในยุคดิจิตอลได้สักระยะ โลกของ บล็อคเชน และเงินตราดิจิทัล ก็เริ่มรุกคืบเข้ามาอย่างต่อเนื่อง จนกูรูทางการเงินหลายท่านเริ่มออกโรงแสดงความกังวล ว่านักลงทุนที่ขาดความรู้และมีความละโมบจะนำพอหายนะสู่ตัวเองได้ ล่าสุด Jaymart ประกาศเปิดการระดมทุน ICO โดยใช้ชื่อเหรียญว่า JFinCoin อย่างเป็นทางการในไทยเมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา การระดมทุนดังกล่าวไม่มีเสียงคัดค้านจากคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แถมยังบอกว่าเป็นกรณีศึกษาอีกต่างหาก
จนกูรูทางการเงินและเศรษฐกิจ ต่างออกมาเปรยๆพร้อมปรามนักลงทุนอยู่เรื่อยๆว่า การลงทุนอย่างนี้มีความเสี่ยง ควรใช้วิจารณาญาณอย่างรอบครอบในการตัดสินใจ และของเล่นใหม่ในยุคดิจิตอลแบบนี้ ความเสี่ยงไม่ใช่แค่หลักร้อยแต่สูงถึงหลักพันเปอร์เซนต์ก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ได้ห้ามสำหรับคนที่อยากลองของเล่นใหม่ ย้ำว่า คนที่มีเงินทุนหนานะ ไม่ควรละโมบ ลงทุนแต่น้อยเพื่อศึกษา อย่าใจใหญ่ควักเงินหนาทุ่มสุดตัว เพราะการลงทุนแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับวิกฤตทิวลิปดำเมื่อในอดีต ที่มีแต่คนลงปลูกกันเพื่อมาเก็งกำไร จากผู้ที่ปั่นราคาจนสูงเกินจริง พอถึงจุดอิ่มตัวใครที่ยังหวังแบบล้มๆแล้งๆก็ติดบ่วงกรรมล้มละลายแบบไม่ทันได้ตั้งหลัก เพราะการลงทุนแบบนี้ ไม่ใครมาการันตีความเสี่ยงความรับผิดชอบ
การลงทุนแบบ ICO ก็เช่นกัน เป็นการลงทุนเงินดิจิตอลในรูปแบบอากาศก็ว่าได้ ไม่มีใครออกมาประกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้น นักลงทุนที่อยากลองก็ลองแบบพอหอมปากหอมคอ แต่อย่าหลงระเริงไปกับสินค้าที่ไม่มีหลักประกันจะปลอดภัยที่สุด กล่าวมาก็ยืดยาว มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ว่า ICO คืออะไร ทำไมเขาฮิตกันนักหนา
ในโลกแห่งบิทคอยน์ บล็อคเชน และเงินตราดิจิทัล กำลังเกิดกระแสใหม่ในขณะนี้ ที่เรียกว่า ICO (Initial Coin Offering) เป็นวิธีการระดมทุนแบบใหม่ที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก ก่อนจะเข้าใจแนวคิด ICO เราจำเป็นต้องเข้าใจคุณสมบัติบางอย่างของเงินตราดิจิทัล (cryptocurrency) อย่างบิทคอยน์กันก่อน
เงินตราในโลกจริงสามารถมีเพิ่มได้เรื่อยๆ ตามที่ธนาคารแห่งชาติของแต่ละประเทศจะตัดสินใจพิมพ์ออกมา (ส่วนจะค้ำประกันด้วยทองคำหรือวิธีการอื่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่สกุลเงินอย่างบิทคอยน์ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้นให้มีจำนวนจำกัด (Controlled Supply) ที่จำนวน 21 ล้านคอยน์ (ใช้หน่วย BTC) โดยมอบให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมด้วยช่วยประมวลผลข้อมูลในเครือข่ายบิทคอยน์ (หรือที่เราเรียกกันเล่นๆ ว่า “การทำเหมือง” หรือ mining) ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไป
ไอเดียของบิทคอยน์คือ ในช่วงแรกที่บิทคอยน์ยังไม่ค่อยดัง (ราวปี 2009-2011) ผู้ที่ช่วยประมวลผลธุรกรรมบิทคอยน์จะได้รับเหรียญตอบแทนในอัตราสูง และเมื่อเครือข่ายมีคนเข้าร่วมแล้ว อัตราผลตอบแทนจะค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ และเมื่อเงินถูกแจกจ่ายจนครบโควต้า 21 ล้านคอยน์แล้วก็จะไม่มีเงินก้อนใหม่เกิดขึ้นอีก การได้มาซึ่งบิทคอยน์จะต้องมาจากการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเท่านั้น นั่นแปลว่าในระยะยาวแล้ว มูลค่าของบิทคอยน์จะสูงขึ้นเพราะมันถูกจำกัดจำนวนมาตั้งแต่ต้นนั่นเอง มีการคำนวณกันว่าบิทคอยน์น่าจะหมดโลกในปี ค.ศ. 2140 โดยอยู่บนข้อสันนิษฐานว่าพลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะคงที่เท่ากับยุคปัจจุบัน (แปลว่ามันควรจะหมดเร็วกว่านั้นมาก เพราะพลังประมวลผลเพิ่มขึ้นตลอดเวลา) อย่างไรก็ตาม เงินคอยน์ก้อนท้ายๆ ที่ถูกจัดสรรจะมีปริมาณลดน้อยลงกว่าในปัจจุบันมาก
ด้วยแนวคิดเรื่องเงินตราดิจิทัลมีจำนวนจำกัด บวกกับความนิยมในบิทคอยน์ ส่งผลให้โครงการเงินตราดิจิทัลรายอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในภายหลัง หันมาใช้วิธีขายเงินของตัวเอง บางส่วนออกมาเป็นเงินจริงก่อน เพื่อนำเงินจริงไปจ้างบุคคลากรและไปลงทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองให้ได้ตามเป้า โครงการที่ประสบความสำเร็จในการขายเงินต่อสาธารณะ (บ้างใช้คำว่า crowdsale หรือ crowdfunding) คือ Ethereum (ที่ปัจจุบันดังเป็นอันดับสองรองจากบิทคอยน์ไปแล้ว) โดยเริ่มขายเงินครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม 2014 ด้วยจำนวนเงิน 60 ล้านเหรียญ ETC และขายออกไปได้เป็นเงินจริงมูลค่า 18.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ด้วยโมเดลการระดมทุนลักษณะนี้ ส่งผลให้โครงการเงินดิจิทัลสกุลอื่นๆ หันมาทำ ICO ตามกัน ส่วนหนึ่งก็มาจากความคิดที่ว่าถ้าเป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลเอง ก็เหมือนจับเสือมือเปล่า สามารถขายเงินดิจิทัลเป็นเงินจริงมาใช้ได้ก่อนใคร (Ethereum สร้างความน่าเชื่อถือให้สกุลเงินของตน ด้วยการตั้งมูลนิธิที่ไม่หวังผลกำไรมาเป็นองค์กรกลางคอยดูแล) อย่างไรก็ตาม เมื่อเงินดิจิทัลเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากๆ ส่งผลให้เงินสกุลย่อยๆ ที่เกิดในภายหลังเริ่มไม่น่าสนใจและไม่มีมูลค่ามากนัก ในปัจจุบันเราอาจพอสรุปได้ว่า มีเพียง Bitcoin ต้นฉบับ และ Ethereum เท่านั้นที่ถูกยอมรับในวงกว้างพอ
กระแสใหม่ของ ICO ที่เริ่มเห็นได้ชัดในปี 2017 คือแนวทางการสร้างสกุลเงินดิจิทัลแบบใหม่เริ่มหมดความนิยมลงไป และตลาดหันมาโฟกัสที่ Bitcoin และ Ethereum แทน สิ่งที่เกิดขึ้นคือโครงการ cryptocurrency แบบใหม่ๆ เลือกใช้วิธี “ขี่” อยู่บน Bitcoin หรือ Ethereum อีกทีหนึ่ง เพราะเป็นเงินที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างอยู่แล้ว ทุกคนในวงการเชื่อมั่นในเงิน Bitcoin และ Ethereum ที่ถือครองอยู่ว่าจะมีมูลค่าต่อไปในอนาคต
ตัวอย่างที่น่าสนใจ คือ Kik Messenger แอพแชทยอดนิยมอีกตัวหนึ่งจากแคนาดา ประกาศทำสกุลเงินของตัวเองชื่อว่า Kin โดยมันจะเป็นสกุลเงิน “เสมือน” ที่อยู่บนเครือข่าย Ethereum อีกทีหนึ่ง โดยสกุลเงิน Kin จะถูกนำไปใช้ในระบบของ Kik Messenger ที่มีผู้ใช้อยู่ 300 ล้านคน เพื่อไม่ให้สับสน ในวงการเงินดิจิทัลจึงเรียกสกุลเงินแบบ Kin ว่าเป็น “Token” และมองว่าการขาย ICO คือการนำเสนอขาย Token เหล่านี้ต่อสาธารณะ ส่วนตัว Token จะพัฒนาด้วยเทคโนโลยี Bitcoin/Ethereum ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่อมายังมีสกุลเงินดิจิทัลชื่อ Civic ประกาศขาย Token Sales ด้วยเช่นกัน โดยพัฒนาขึ้นบน Ethereum
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ICO ยังเป็นวิธีการระดมทุนที่ใหม่มาก มันย่อมไม่มีกฎหมายรองรับ และสถานภาพทางกฎหมายก็ยังคลุมเครือ (ทั้งในสหรัฐและประเทศอื่นๆ) ดังนั้น ผู้ที่จะลงทุนใน ICO ก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงของตัวเอง ว่าโครงการ ICO แต่ละโครงการมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน
ปัจจุบัน ตลาดเงินดิจิทัลแบบ cryptocurrency กำลังบูม เนื่องจากราคาบิทคอยน์ที่แลกเป็นเงินจริงได้ มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นมาก นักลงทุนและนักเก็งกำไรจึงเริ่มแห่กันมาสู่ตลาดนี้ แน่นอนว่าย่อมมีผู้ไม่ประสงค์ดี หวังจะหลอกลวงฟันเงินจากการขาย ICO ด้วยเช่นกัน เราย่อมจะได้เห็นการโกงเงินจาก ICO ในอนาคตอีกไม่ไกลนัก และหวังว่าทุกท่านจะแคล้วคลาดปลอดภัย ???