11 ธันวาคม 2560 : ทุกวันนี้โลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี ที่นับวันจะล้ำสมัยอย่างต่อเนื่อง หลายคนเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงต่างๆ มักจะเกิดขึ้นในทุกปี ในรูปแบบใหม่เอี่ยมและแบบต่อเนื่องกันมา แล้วโลกของการลงทุนล่ะ!! เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง??
ล่าสุด มีคำเล็ดรอดเข้ามาหนาหู สำหรับคำว่า GOAT แปลว่า แพะ แต่คำว่า GOAT ในที่นี่ ย่อมาจาก The Greatest of All Time หรือ จุดสูงสุดตลอดกาล และเพื่อขยายความดังกล่าว ว่าเกี่ยวข้องกับโลกข้องการลงทุนอย่างไร วันนี้จึงได้นำข้อมูลของ Mr.Messenger ซึ่งเป็นกูรูด้านการลงทุนของไทย มาช่วยอธิบายให้เข้าใจมากขึ้น
Mr.Messenger ระบุว่า GOAT แปลว่า แพะ แล้ว ‘แพะ’ เกี่ยวข้องอะไรกับโลกในปีหน้า? ซึ่ง GOAT ในที่นี่ย่อมาจาก The Greatest of All Time หรือ จุดสูงสุดตลอดกาล แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับเรื่องการลงทุน โดยจุดสูงสุดตลอดกาลในที่นี้ ทั้งในแง่ของระดับดัชนีตลาดหุ้น และในแง่ของอัตราการปรับตัวขึ้นของดัชนีด้วย
ซึ่งถ้าดูจากระดับดัชนีตลาดหุ้น ก็ต้องบอกว่า ปีนี้ เป็นปีที่ S&P500 และ Dow Jones ทำสถิติจุดสูงสุดใหม่อยู่บ่อยครั้ง จากความคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นการลงทุนจากทั้งนโยบายการเงิน และนโยบายการคลัง
แต่ถ้าในด้านของอัตราการปรับตัวขึ้นนั้น วันนี้ยังไม่ใช่ เพราะก่อนหน้านี้ขาขึ้นของตลาดหุ้นที่วิ่งได้แรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1950 ก็คือ Bull Cycle ระหว่างปี 1990 – 1998 (ฟองสบู่มาแตกตอน Asian Crisis ซึ่งสาเหตุมาจากประเทศไทยนี่เอง) ในตอนนั้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P500) ใช้เวลา 8 ปี วิ่งจากจุดต่ำสุดไปจุดสูงสุด รวมผลตอบแทนคือ 302%
มารอบนี้ นับจากจุดต่ำสุดของปี 2009 หลังวิกฤตซับไพรม์ จนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นมาแล้ว 290% ขาดเพียงอีกแค่ 12% ก็จะทำลายสถิติตลาดขาขึ้นที่แรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1990 ซึ่งถ้าทำได้ ที่เรียกว่า GOAT หรือ The Greatest of All Time คือ จุดสูงสุดตลอดกาล ทั้งในแง่ของระดับดัชนีตลาดหุ้น และในแง่ของอัตราการปรับตัวขึ้นของดัชนี
แล้วอีก 12% มันจะเป็นไปได้ไหม?
ทั้งนี้ อ้างอิงจากคาดการณ์ S&P500 Index ของนักวิเคราะห์เจ้าดังๆของโลก ที่ให้เป้า S&P500 ในปี 2018 ก็จะเห็นตามนี้ คือ
Credit Suisse ให้ไว้ที่ 2,875 (upside 9%)
Deutsche Bank ให้ไว้ที่ 2,850 (upside 8%)
UBS ให้ไว้ที่ 2,900 (upside 10%)
Goldman Sachs ให้ไว้ที่ 2,850 (upside 9%)
BofA Merrill Lynch ให้ไว้ที่ 2,863 (upside 8%)
ที่เห็น ก็มีข้อดีคือ สำนักใหญ่ๆ ยังมองตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสไปต่อจากระดับปัจจุบัน แต่ส่วนจะทำให้เราเห็นแพะ หรือ GOAT ได้หรือไม่นั้น ก็พบว่า ไม่มีใครให้เป้าปีหน้าไกลกว่า 2,900 จุด ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถชนะขาขึ้นรอบปี 1990-1998 ได้
แล้วเราควรเชื่อเหล่านักวิเคราะห์ทั้งหลายมากน้อยแค่ไหน?
ตามความเห็นก็แค่ควรฟังหูไว้หู เพราะยกตัวอย่าง Goldman Sachs และ BofA Merrill Lynch ต้นปี 2017 ก็ให้เป้า S&P500 ไว้ไม่เกิน 2,500 จุด ก็ต้องบอกว่า ต่ำกว่าความเป็นจริงไปมากกว่า 5% ทีเดียว ไม่มีใครเดาอนาคตได้แม่นยำแบบ 100% หรอกครับ
ปัจจัยมหภาคใดจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังไปได้ต่อ?
1. นโยบายการคลัง และมาตรการปฎิรูปภาษีของ ปธน.ทรัมป์ ซึ่งถ้าผ่านสภาฯ ตลาดจะคาดหวังว่า กำไรบริษัทจดทะเบียน และการลงทุนภาครัฐฯ จะเป็นตัวขับเคลื่อน
2. การยกเลิกกฎหมาย Dodd Frank ซึ่งมีแนวโน้มจะมีการใช้กฎหมายฉบับใหม่ที่เรียกว่า CHOICE Act มาแทนที่ โดยหัวเรือใหญ่ ก็คือ ประธานเฟดคนใหม่ที่ชื่อ Jerome Powell ซึ่งจะมาแทน Janet Yellen ในเดือน ก.พ. ปีหน้า จะทำให้สถาบันการเงินในสหรัฐฯ ออกเครื่องการเงิน และการลงทุนได้มากขึ้น ตลาดจึงคาดหวังว่า งบของเหล่าบริษัทใน Wallstreet จะดีขึ้นจากมาตรการนี้
3. ถ้าเหล่าหุ้น Tech ที่บูมๆ อยู่ในช่วงนี้ ไม่ลงแรงจะทำลายบรรกาศการลงทุนในภาพรวมไปเสียก่อน เพราะต้องอย่าลืมว่า วิกฤต dotcom ปี 2000 ก็เกิดจากกลุ่ม Technology นี้ล่ะ ที่วิ่งเร็วเกินไป แรงเกินไป และโดนขายหนักเกินไปจนทำให้นักลงทุนนี้ออกจากตลาดกันหมด