ทิสโก้จัดงานสัมมนา TISCO Investment Forum “จับตาโอกาส ความเสี่ยง สร้าง Wealth รอบใหม่ ท่ามกลางความผันผวนโลก” ขนทัพกูรูแนะนำการจัดพอร์ต “ยุโรป-ญี่ปุ่น-จีน-อินเดีย” เป็นโอกาสการลงทุนปี 2559 รับธีม ECB-BoJ ผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง แนะ REITs เป็นทางเลือกลงทุน ตอบโจทย์ยุคดอกเบี้ยต่ำ
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเดือนที่ผ่านมา นำโดยตลาดยุโรปและญี่ปุ่นรวมถึงจีนที่ปรับตัวขึ้นราว 10-15% ตาม Sentiment ของตลาดที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การคลายความกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของราคาน้ำมัน ประกอบกับการแข็งค่าของค่าเงินหยวนและการชะลอตัวของกระแสเงินทุนไหลออกจากจีน ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดไว้
ด้านการล้มละลายของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันจะส่งผลกระทบจำกัดต่อภาคการเงิน ตลาดน้ำมันดิบโลกกำลังปรับตัวเข้าสู่สมดุลใหม่ โดยราคาน้ำมันที่ตกต่ำ เริ่มส่งผลกดดันให้ผู้ผลิตน้ำมัน Shale Oil ประสบปัญหาขาดทุนและบางแห่งต้องถึงกับประกาศล้มละลายลงไป อย่างไรก็ดี คาดว่าผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวจะไม่ลุกลามจนเป็นปัญหาเชิงระบบ การผลิตน้ำมันที่ลดลงตามการปิดตัวของบริษัทน้ำมันในสหรัฐฯ จะช่วยให้ภาวะอุปสงค์-อุปทานกลับสู่สมดุล และทำให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้นได้ในที่สุด
นายสุพงศ์วร เมี้ยนโภคา หัวหน้าฝ่ายจัดการลงทุนต่างประเทศ บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นยังเป็นการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ เพราะภาวะ Oversold ช่วงต้นปีทำให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมา ประกอบกับ Valuation ของตลาดยังอยู่ในช่วงต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี อีกทั้งยังไม่มีภาพว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย จึงนับเป็นโอกาสการลงทุนในตลาดหุ้น โดยแนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นกลุ่ม Developed Market (DM) เช่น ตลาดหุ้นยุโรปหรือญี่ปุ่น ที่จะได้รับปัจจัยบวกจากการใช้มาตรการ QE อีกทั้ง Valuation ของทั้ง 2ตลาดปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ
ขณะที่ตลาด Emerging Market (EM) ยังคงมีความเสี่ยงต่อภาวะเงินทุนไหลออกอีกครั้ง จากการปรับพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลกหลังจากตลาดหุ้นและสกุลเงินของกลุ่ม EM ปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยนั้นมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดกลุ่มประเทศ EM อื่นๆ เนื่องจากสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติในหุ้นไทยถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีที่ผ่าน ทำให้ความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกอยู่ในระดับต่ำ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังต้องจับตาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในปี 2559 เช่น Yield ของตราสารหนี้ที่อาจได้รับแรงกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ปัญหาค่าเงินหยวนของจีนอ่อนค่า และความเสี่ยงด้านการเมืองระหว่างประเทศ เช่น วิกฤตผู้อพยพในยุโรป และความเสี่ยงอังกฤษจะออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ Brexit ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้
นายสุพงศ์วร ยังกล่าวว่า การลงทุนใน REITs (กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) ต่างประเทศ ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกเพื่อกระจายการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในรอบการลงทุนหลายครั้งที่ผ่านมา ในปีนี้การลงทุนประเภท REITs จะได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยต่ำจากการใช้มาตรการ QE ของ ECB และ BoJ โดยเฉพาะ REITในญี่ปุ่น ซึ่งราคาที่ดินในญี่ปุ่นเริ่มปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากทรงตัวมานาน ขณะที่ราคาภาคอสังหาริมทรัพย์ในยุโรปยังคงต่ำเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในปี 2007 และมีแนวโน้มอัตราการเช่าที่เพิ่มสูงขึ้น
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ. ทิสโก้ กล่าวว่า ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น เนื่องจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย มีการทำ QE ต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยติดลบ โดย บลจ. ทิสโก้มีกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นอยู่ 4 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ยุโรป อิควิตี้ (TISCOEU) ซึ่งเน้นกระจายการลงทุนในหุ้นยุโรปขนาดใหญ่ 50 บริษัท กองทุนเปิด ทิสโก้ เยอรมัน อิควิตี้ (TISCOGY) ลงทุนในกลุ่มบริษัทในประเทศเยอรมนี อ้างอิงดัชนี DAX ของเยอรมัน กองทุนเปิด ทิสโก้ ซิลเวอร์ เอจ (TISCOSA) เน้นลงทุนในหุ้นยุโรปที่ทำธุรกิจตอบโจทย์ผู้สูงวัย และ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 225 บริษัท อ้างอิงดัชนี Nikkei 225
สำหรับกลุ่ม EM โดยรวมตลาดอาจจะยังคงมีความผันผวน แต่ตลาดที่น่าสนใจเข้าไปลงทุนมากที่สุดคือตลาดหุ้นอินเดีย ที่เศรษฐกิจยังคงมีการเติบโตในระดับสูง มีเม็ดเงินไหลเข้าไปลงทุนต่อเนื่อง โดยสามารถลงทุนในอินเดียผ่าน กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN) ขณะที่ตลาดหุ้นจีนยังคงมีความน่าสนใจแม้จะมีความผันผวนสูงมูลค่าหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก มี Valuation ถูกเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ โดยเรามีกองทุนที่ลงทุนในประเทศจีน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้ (TISCOCH) ที่ลงทุนในหุ้นจีนที่ตลาดหุ้นฮ่องกง โดยอิงกับดัชนี HSCEI และกองทุนเปิด ไช่น่า สตาร์ พลัส (TCHSTARP) เป็นกองทุน Fund of Funds ที่ผู้จัดการกองทุนจะดำเนินกลยุทธ์ในการลงทุนในหุ้นจีนผ่านกองทุนต่างๆ
สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงไม่ได้มาก แต่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและดีกว่าเงินฝาก เราแนะนำกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม พลัส (TINCOME) ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดสรรการลงทุนลงในหลายสินทรัพย์ โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ไทยประมาณ 50% ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs และกองทุนโครงสร้างพื้นฐานประมาณ 25% และลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 25% เพื่อสร้างกระแสเงินสดจากดอกเบี้ยและเงินปันผล โดยบริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเป็นรายไตรมาส หรือขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทจัดการ ตามที่บริษัทจัดการพิจารณาเห็นสมควร
ด้าน นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล. ทิสโก้ สรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2 ว่า จะอยู่ในภาวะ Over Bought ก่อนจะขึ้นไปทรงตัวที่ระดับ 1,430-1,450 จุด ระหว่างนี้แนะนำให้เล่นหุ้น “กลุ่มก่อสร้าง รับเหมา และอสังหาริมทรัพย์” ก่อนจะจบรอบ หลังจากที่ข่าวดีจาก Fed BoJ ECB ในเดือน มี.ค. หมดลง และพ้นช่วงข่าวปันผล แม้ต่างชาติจะเข้าซื้อสุทธิ เดือน มี.ค.-เม.ย. ราว 3 หมื่นล้านบาท แต่ก็จะเป็นการซื้อที่ “ยอดดอย” ก่อนดัชนีจะร่วงลงมาสู่แนวรับ 1,350 จุดช่วงเดือน มิ.ย. แนะนำให้นักลงทุนทยอยซื้อสะสมที่ 1,350 จุด เพื่อรอรับ Fund Flow ไหลเข้าช่วงครึ่งปี มองว่า SET Index จะขึ้นไป1,480 จุด