30 ตุลาคม 2560 : ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KTBST มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (30 ต.ค. – 3 พ.ย.) ว่า ตลาดยังเป็นไปในทิศทางบวกแต่ไม่แรงเนื่องจาก upside ของหุ้นขนาดใหญ่ของตลาดอาจเหลือไม่มากนัก ปัจจัยในประเทศ เป็นตัวหนุนตลาดจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยภาครัฐฯ และผลประกอบการไตรมาส 3 นักลงทุนในประเทศน่าจะเป็นผู้ซื้อรายหลัก ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศ ยังไม่น่าจะกลับมาเป็นผู้ซื้อรายหลักของตลาดดังเช่นสองเดือนที่ผ่านมา เพราะทิศทางดอลล่าร์ที่เริ่มกลับมาแข็งค่า
อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้ปัจจัยสำคัญที่เป็นได้ทั้งบวกและลบ นั่นคือ การเสนอชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คนใหม่ หากผลออกมาและทำให้ดอลล่าร์อ่อนค่าลง แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศจะน้อยลงหรือพลิกกลับมาซื้อได้เช่นกัน
ดังนั้น จากมุมมองตลาดที่บวกได้ไม่มาก กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้ ยังต้องเป็นสลับกับการเปลี่ยนตัวเล่นหุ้นที่ราคาขึ้นมามากและเริ่มไปต่อไม่ได้ โดยเน้นสองกลุ่ม คือ กลุ่มได้ประโยชน์จากมาตรการภาครัฐฯ และหุ้นมีปัจจัยเฉพาะตัว รวมทั้งหุ้นงบไตรมาส 3 ที่คาดว่าจะออกมาดี คาดดัชนีฯ ในสัปดาห์นี้ที่ 1,700-1,730 จุด หุ้นแนะนำในเชิงกลยุทธ์ได้แก่ HANA , CPALL , M , BCH , ADVANC , FN
ทั้งนี้ ปัจจัยที่สำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้คือ ค่าเงินดอลล่าร์ที่แข็งค่าและจะมีผลต่อกระแสเงินลงทุน (Fund Flow) ซึ่งจากแผนการลดภาษีและตัวประธาน Fed คนใหม่ หากหนุนให้ดอลล่าร์แข็งค่าขึ้นจะผลลบต่อตลาดหุ้น-พันธบัตรของไทย เพราะนักลงทุนต่างประเทศอาจลดการถือสินทรัพย์เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลง และอาจจะไม่ได้เป็นผลบวกต่อกลุ่มผู้ส่งออกเพราะหุ้นเหล่านั้นแม้จะเป็นบวก แต่ไม่มีน้ำหนักต่อตลาดมากนัก จึงเป็นเหตุผลที่คาดว่าดัชนีฯสัปดาห์นี้ ขึ้นได้แต่ไปไม่ไกลนัก ถ้านักลงทุนต่างประเทศไม่ได้ซื้อหุ้น หรือพลิกมาขาย
ขณะที่ประชุม 2 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) และอังกฤษ (BOE) ทั้งสองแห่ง ในวันที่ 1 และ 2 พ.ย.ตามลำดับ ตลาดไม่ได้คาดการณ์ในเรื่องการปรับดอกเบี้ย แต่น่าจะให้ความสนใจกับนโยบายด้าน QE มากกว่า และตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันศุกร์ (3 พ.ย.) คงไม่มีนัยยะต่อตลาด เนื่องจากเพิ่งผ่านการประชุม FOMC มาเพียงสองวัน ตลาดรับรู้ในเรื่องทิศทางดอกเบี้ยกันไปแล้ว
ส่วนปัจจัยในประเทศแรงเก็งกำไรในหุ้นที่ประกาศงบไตรมาส 3 จะกระจายไปในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก กันมากขึ้น ส่วนหุ้นขนาดใหญ่ มองว่าราคาหุ้นสะท้อนกำไรไปแล้ว (ธนาคาร-น้ำมัน-ปิโตรเคมี) จากนี้ไปหุ้นเหล่านี้จะขึ้นลงตามทิศทางของดัชนีฯมากกว่า แต่ยังมองว่า upside หุ้นใหญ่เหลือน้อย